• Featured Post

    วิธีในการเอาชนะ Pete the invincible ใน Borderlands 2

  • Silver Spoon เอ็ดฯแว่นไร้จุดหมาย

    หากย้อนกลับไปสมัย 2 - 3 ปีก่อน อาจารย์ Hiromu Arakawa ได้ฝากผลงานเด่นๆ อย่าง Fullmetal Alchemist (FMA) ให้ชาว Anime ได้ติดตามกัน ตอนนี้ผลงานของ อ. Hiromu ได้ถูกนำมาทำ Anime อีกครั้ง ให้แฟนๆ FMA ได้หายคิดถึงกัน นั่นคือ Silver Spoon ...

Sunday, January 26, 2014


[Series] Switch Girl : เจ้าหญิงสลับขั้ว

หายหน้าหายตาไปจาก Blog หลายสัปดาห์ วันนี้ขอเสนอ Series เบาๆ ฮาๆ ดูสบายๆมาฝากครับ
SWITCH GiRL

เป็น Series ที่สร้างจาก Manga ชื่อดังที่ขายดี ถึง 500 ล้านเล่ม (Ref) แต่งโดยคุณ Aida Natsumi ซึ่งถูกนำมาสร้างเป็น Series แรกในปี 2011 (ในปัจจุบันเป็น Season 2 แล้ว) 

เมื่อดาวโรงเรียน (ทามิยะ นิกะ) ที่ทุกคนชื่นชม ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนร่วมชั้น หรือร่วมโรงเรียนเดียวกัน สาวสวยเจ้าเสน่ห์ ทั้งหน้า ผม ชุด เป๊ะเวอร์ แท้จริงแล้ว เธอกลับมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่...

Friday, December 20, 2013


[LN] Absolute Duo - ศึกศาสตรา วิญญาณแฝด Chapter 1 (4)

Part 4

คำคมจากปากของอาจารย์ใหญ่ดังขึ้น ในจังหวะเดียวกับเสียงระฆังที่ดังขึ้นไปทั่ว ไม่ใช่แค่หอประชุม แต่ดังไปทั่วทั้งโรงเรียน
เมื่อเวลากลับมาเดินอีกครั้ง---
“ว๊ากกกกก!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากใครสักคนหนึ่งกลายมาเป็นเสมือนสัญญาณเริ่มต้น
หลังจากที่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ในขณะนี้แล้ว คนกลุ่มหนึ่งกรีดร้องพลางวิ่งหนีไปยังทางออก
ในขณะที่บางคนยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเพราะยังไม่เข้าใจในสถานการณ์
และอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความตั้งใจที่จะประลองและยอมรับการทดสอบ ได้แผดเสียง <<วจนะจำเพาะ>> และ <<เปลวเพลิง>> ก็ได้ปะทุออกมา
ดาบ หอก ธนู และศาสตรามากมายได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาของผม พวกเขาถือมันขึ้นมาและกวัดแกว่งใส่ศัตรูเบื้องหน้า
เสียงของการต่อสู้และอาวุธประทะกันดังกังวานไปทั่วทั้งหอประชุม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงพวกเราที่ยังคงยืนนิ่งและสบตากัน—
และผู้ที่เอ่ยขึ้นมาก่อนก็คือคุณอิมาริ
“ฉันไม่ค่อยชอบประโยคที่ว่า “มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้” แต่ มันมีบางอย่างที่ฉันจะต้องทำให้สำเร็จ และเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น ฉันจะต้องเข้าเรียนที่วิทยาลัยนี้ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม เพราะงั้นนะ---“
คุณอิมาริส่งสายตาแหลมคมประสานมายังนัยต์ตาของผม และกู่ร้อง
“ฉันจะไม่ยอมล้มเลิกเด็ดขาด!”
เธอวางมือไว้บนหน้าอก <<รอยสลักแห่งดวงดาว>> ได้ปรากฏขึ้นจาก <<วจนะจำเพาะ>>
<<เปลวเพลิง>> นั้นส่องสว่างเป็นสีฟ้าอ่อนนั่นคือ <<วิญญาณ>> และ <<จิตใจ>> แห่งการต่อสู้ของคุณอิมาริ
อิมาริจับ <<เปลวเพลิง>> เอาไว้อย่างไม่ลังเล
<<เปลวเพลิง>> ได้ก่อรูปเป็นแท่งยาวและเริ่มส่องแสงสว่างอย่างแรงกล้าออกมา <<ดาบ>> ที่โค้งได้สัดส่วนอย่างงดงามก็ปรากฏอยู่ในมือของคุณอิมาริ
“โทรุ แสดง <<เปลวเพลิง>> ของนายออกมาด้วย….!”
“.........”
คุณอิมาริแสดงเจตนาของตัวเองออกมา แต่ผม....
“.....ไม่มีเวลามาโอ้เอ้หรอกนะ ถ้านายไม่อยากจะสู้แล้วละก็ ฉันจะจบมันเดี๋ยวนี้แหละ!! ย้ากกก!!”
ในขณะที่เธอปลุกใจตัวเองด้วยการส่งเสียงร้องออกมา คุณอิมาริก็กระโจนเข้าใส่ผม
(----อุ๊! เร็วจริง!!)
ด้วยความสามารถในการปะทุของพลังที่เพิ่มขึ้นจาก <<Luciful>> ระยะทางไม่กี่เมตรก็สามารถย่นระยะได้ภายในพริบตา
“ชิ!”
โทรุถอยเท้าอย่างฉับพลันเพื่อหลบ <<ดาบ>> ที่กวัดแกว่งลงมา ดาบนั้นได้ถากเสื้อของเขาแล้วฟันลงกับพื้น
ร่องรอยจากการถูกฟันที่ทิ้งไว้บนพื้นนั้น ไม่ควรเกิดขึ้นจากพละกำลังของเด็กสาวได้เลย
(นี่คือ <<ผู้เหนือมนุษย์>> งั้นเหรอ .......! ที่ว่าได้ก้าวข้ามขอบเขตของความเป็นมนุษย์ไม่ใช่แค่ดีแต่พูดสินะ)
“นายเคลื่อนไหวได้ไม่เลวเลย ไปทำอะไรมางั้นเหรอ?”
“ก็แค่วิชาป้องกันตัวนิดหน่อยนะ”
“งั้นเหรอ ฉันเองก็เรียนเคนโด้มานะ
“ถึงว่า ฟันได้คมขนาดนั้น”
ผมส่งยิ้มกลับไปหาคุณอิมาริที่กำลังตั้งท่าดาบอยู่
“หุๆ ขอบใจนะ ถึงจะฉันพูดอวดดีไปหน่อย แต่ว่า...........คราวหน้าไม่พลาดแน่”
ดวงตาของคุณอิมาริกลับมาจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
“โทรุ ฉันจะขอพูดอีกครั้งนึงนะ เอา <<เปลวเพลิง>> ของนายออกมาซะ....!”
“คุณอิมาริ.....”
ผมยังคงลังเลอยู่
แต่ทว่า ผมรู้ว่ามันไม่มีทางเลือกอื่นที่ทำได้ ---- และทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการยอมรับการทดสอบครั้งนี้
แต่ถึงจะก่อร่างเอาอาวุธออกมา แต่ผมจะสู้ยังไงดี
เพราะ <<เปลวเพลิง>> ของผม คือ <<โล่>> --- อุปกรณ์สำหรับการป้องกันตัว
แทนที่จะมีไว้สำหรับการเอาชนะ แต่มันเป็นเพียงการปกป้อง เพื่อไม่แพ้
นั่นคือสาเหตุที่ว่า การจะเอาชนะคุณอิมาริได้นั้น ผมจะต้องโจมตีโดยตรง --- ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการเหวี่ยงหมัดเท่านั้น แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว โอกาสที่จะบาดเจ็บก็จะมีมากขึ้น
 (ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงโอกาสแบบนั้น เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว....)
“ผมไม่เป็นไรหรอก”
“เอะ?”
“ผมบอกว่าผมจะไม่ใช้ <<เปลวเพลิง>> น่ะ”
“---------อุ๊! นายหมายความว่ายังไงกันแน่ โทรุ!?”
“ถ้าผมจำเป็นที่จะต้องใช้มัน ผมจะเรียกมันออกมาเอง แต่นั่นหมายความว่าผมยังไม่ต้องใช้มันยังไงล่ะ”
“อ-อย่ามาพูดบ้าๆ นะ!! ถึงจะเห็นฉันเป็นแบบนี้ แต่ฉันก็เป็นนักกีฬาชั้นนำของการแข่งขันเคนโด้นะ!!”
“..............ผมไม่ได้พูดบ้าๆ แต่ผมพูดจริงๆ”
“-----อุ๊! งั้นอย่าเสียใจทีหลังล่ะ!! ย๊ากกกก!!”
คุณอิมาริกู่ร้องอีกครั้งหนึ่ง แล้วย่ำเท้าเข้ามา
แม้ว่าผมจะสามารถหลบดาบของเธอได้ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้จังหวะชะงักไปแต่อย่างใด
หลังจากดาบแรกผ่านไป ดาบที่สอง และสามก็ตามมาในทันที----
แต่ผมก็ยังสามารถที่จะหลบดาบทั้งหมดนั้นได้
“ชิ.....! ท่าทางนายจะหลบเก่งไม่เบาเลยนะ…!”
แสดงความห่างชั้นกันของฝีมือ เพื่อทำให้เธอยอมแพ้ไปเอง
นั่นคือวิธีการที่ผมเลือกเอาไว้
ถึงการที่ <<Luciful>> ที่เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็น <<ผู้เหนือมนุษย์>>
ถ้านั่นทำให้ความสามารถทางกายภาพของคุณอิมาริเพิ่มขึ้น ผมเองก็ต้องได้รับผลเช่นกัน
ด้วยสิ่งนี้แล้ว ผมสามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะที่เพิ่มพูนขึ้นมาได้
ทักษะการใช้ดาบของคุณอิมารินั้นเฉียบคม
แต่ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากสามัญสำนึก
---แต่ผมนั่นต่างออกไป
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ ก้าวเดินของผมเป็นไปเพื่อความแข็งแกร่ง
เส้นทางที่เราเลือกเดินนั้นต่างกัน----และนั่นส่งผลให้เห็นถึงความเหนือล้ำอย่างที่สุดในความสามารถ
“ท-ทำไมกัน...........!”
<<ดาบ>> นั้นยังคงผ่าลมผ่าอากาศไปอย่างสูญเปล่านับครั้งไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะฮึกเหิมแค่ไหนก็ตาม สิ่งนั้นไม่อาจถมความต่างชั้นของฝีมือได้
ในตอนนั้นเอง คุณอิมาริก็คงสังเกตเห็นได้เช่นกัน และเริ่มที่จะปรากฏความร้อนรนในนัยน์ตาของเธอ
“ฉันจะแพ้ไม่ได้! ฉัน....ฉันมีสิ่งที่จะต้องไปให้ถึง....!”
เธอขบฟันแน่นและประกาศความแน่วแน่ของเธอที่จะไม่ยอมแพ้ ก่อนที่จะเหวี่ยง <<ดาบ>> ของเธอลงมา
ผมโยกหลบการโจมตีด้วยระยะห่างเท่าความหนาของแผ่นกระดาษ และคว้าเอาข้อมือของคุณอิมาริเอาไว้



“.......คุณน่าจะเข้าใจได้แล้วนะ คุณอิมาริ คุณเอาชนะผมไม่ได้หรอก ต่อให้สู้กันไปนานกว่านี้-----มันก็ไร้ประโยชน์”
“อึก!”
“เพราะฉะนั้นแล้ว ช่วยยอมแพ้ด้วยเถอะนะครับ ผมอยากให้คุณอิมาริยอมรับความพ่ายแพ้........ผมไม่ต้องการที่จะทำร้ายคุณ”
ไม่มีอะไรที่จะร้ายกาจไปกว่าคำพูดจากปากของผมอีกแล้ว
ผมกำลังบอกเธอให้ยอมรับในความต่างชั้นของฝีมือแล้วยอมแพ้ไป
และในวินาทีที่เธอยอมรับ คุณอิมาริจะต้องจากวิทยาลัยโคเรียวไปในทันที
เพื่อที่จะไม่ทำให้คุณอิมาริต้องบาดเจ็บ ผมจะต้องทำร้ายหัวใจของเธอแล้วรวมถึงตัวผมเองด้วย
เช่นเดียวกันกับคุณอิมาริ ผมเองก็มีเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง
ผมมีความแน่วแน่ที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จให้ได้
แต่การจะให้เหวี่ยงกำปั้นต่อยผู้หญิงนั้น-----ผมจะต้องเลี่ยงที่จะทำร้ายคุณอิมาริ
นั่นเป็นสาเหตุที่ผมเลือกที่จะทำลายความตั้งใจของคุณอิมาริแทน และทำให้หัวใจของเธอแตกหักไปในที่สุด แต่ว่า----
“อย่ามาล้อเล่นนะ! ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้แบบนี้แน่ ไม่มีวัน.....!”
คุณอิมาริอาละวาด
“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่มีทางที่จะยกธงขาวทั้งๆ ที่รู้ว่าคู่ต่อสู้ยังไม่เอาจริงเด็ดขาด!!”
“คุณอิมาริ.......”
เมื่อผมเรียกชื่อของเธอ คุณอิมาริผ่อนคลายสีหน้าลงแล้วเป่าปากดัง *ฟู่* แล้วส่งรอยยิ้มมาให้
“ถ้านายอยากให้ฉันยอมแพ้ละก็นะ ด้วยต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีด้วยนะ โทรุ นั้นเป็นมารยาทในการประลอง”
และด้วยใบหน้า รอยยิ้ม และดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ผมรู้สึกเหมือนกับถูกชักจูงไป
ด้วยความสงบนิ่งนั้น เธอไม่เคยยอมแพ้ให้กับความตั้งใจของตัวเอง
ผมนี่มันบ้าที่สุด
ผมไม่มีทางที่จะทำลายหัวใจของคู่ต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่และรอยยิ้มอันนั้นได้เลย
---ถ้างั้นแล้วจะทำยังไงดีล่ะ?
ก็เห็นๆ กันอยู่แล้วนี่นา
มีเพียงทักษะเดียวที่จะตอบรับกับหัวใจอันเต็มไปด้วยความแน่วแน่อันนั้นได้
“ผมขอโทษด้วยนะครับ”
ผมกล่าวคำขอโทษและปล่อยมือของคุณอิมาริไปแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อเว้นระยะห่าง
ด้วยความแตกต่างกันของฝีมือ ผมไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มัน
แต่ด้วยความปรารถนาของคุณอิมาริแล้ว ผมจะต้องลงมืออย่างเต็มที่
ผมจะต้องทำตามความปรารถนาอันนั้น
ผมจึงได้กู่ร้อง --- <<วจีจำเพาะ>>
“ <<เปลวเพลิง>>!!”
ไฟได้ลุกโชนออกมาจากแผ่นอกของผม---
สิ่งนั้นได้ปรากฏขึ้นในมือของผมแล้วพันรอบแขนและเปล่งประกายแสงออกมา
“นั่นคือของโทรุ....”
ด้วยชื่อเรียกอย่าง <<Irregular (สิ่งที่ผิดเพี้ยน)>> และเป็น <<เปลวเพลิง>> รูปแบบป้องกันหนึ่งเดียวในโลก --- เธอจับจ้อง <<โล่>> ด้วยตาของเธอด้วยอาการประหลาดใจอย่างเก็บไว้ไม่อยู่
“ก็เป็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละครับ ผมถึงได้ขอโทษ แต่เพื่อชัยชนะแล้ว ผมคงจะต้อง—ใช้มัน”

เพื่อที่จะแสดงให้คุณอิมาริเห็น ผมจึงกำหมัดแน่น
จากนั้นดึงกลับมาเพื่อตั้งท่าเตรียมพร้อม
“เข้ามาได้เลยครับ! ผมจะหยุด <<เปลวเพลิง>> ของคุณอิมาริ แล้วเอาชนะให้ได้!”
“ดูเหมือนว่านายจะเอาจริงแล้วสินะ.... แต่ว่า! ต่อให้เป็นความแตกต่างที่ชวนสิ้นหวังขนาดนั้น ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ!!”
คุณอิมาริตะโกนออกมาพร้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นกัน
คงจะเป็นเรื่องยากมากที่จะหลบหลีกการโจมตี และดูเหมือนว่าเธอวางแผนที่จะท้าทายผมสำหรับการปะทะครั้งสุดท้ายด้วยการแทงอย่างเต็มกำลัง
“มันน่าเสียใจจริงๆ นะ.......ที่จริงแล้วฉันอยากจะคุยกับโทรุมากกว่านี้ แต่มันคงไม่มีเวลาอีกแล้ว ด้วยศักดิ์ศรีของนักดาบ ฉันจะใช้ <<ดาบ>> นี้แหละ---!”
“ผมก็จะใช้ <<โล่>> นี้แหละ---!”
ตอบสนองต่อคำพูดของผม คุณอิมาริตะโกนเข้ามาด้วยเสียงร้องที่เต็มไปด้วยพลังใจ
“ไฮย่าหหหหหหหหหห์!!”
ท่าแทงตรงมายังช่องว่าง ดาบนั้นตรงมายังจุดที่ผมอยู่
“โอ้วววววววววววววว!!”
ผมร้องด้วยเช่นกัน
แกร๊งงง.......! <<โล่>> ของผมหยุดใบดาบของคุณอิมาริ และ <<ดาบ>> นั้นได้กระดอนออกไปจากมือของเธอด้วยเพราะไม่สามารถทนต่อแรงปะทะนั้นได้
“เมื่อกี้---เป็นการโจมตีที่ไม่เลวนะ”
“การโจมตีถูกหยุดเอาไว้แบบนี้ ฉันคงทำเป็นเท่ไม่ได้หรอกนะ แต่ว่า --- ขอบคุณมากนะ”
คุณอิมาริส่งยิ้มเล็กๆ มาให้ จากนั้น---
“มันจบแล้วล่ะ”
ผมปล่อยหมัดตรงออกไป
พุ่งออกไปเหมือนลูกธนู ผมปลดปล่อยพลังที่สะสมเอาไว้
และสุดท้าย ผมก็ได้รับ --- สิทธิในการโจมตีครั้งสุดท้ายของการประลอง

Tuesday, December 10, 2013


[LN] Absolute Duo - ศึกศาสตรา วิญญาณแฝด Chapter 1 (3)

Part 3

“กิจกรรมประเพณี?”
“ไม่มีอะไรแบบนั้นเขียนอยู่ในแผ่นพับเลยนะ....”
ดูจากตารางเวลาที่ติดอยู่บนกำแพงแล้ว กิจกรรมที่ควรจะดำเนินหลังจากโอวาทผู้อำนวยการแล้ว ควรจะเป็นการต้อนรับอย่างอบอุ่นของตัวแทนนักเรียน...
[ก่อนที่เราจะเริ่มต้น <<พิธีคัดเลือกนักศึกษา>> กัน มีบางสิ่งที่พวกเธอจะต้องทำ ขอให้พวกเธอสำรวจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน คนๆ นั้นจะเป็นคู่ของเธอในกิจกรรมที่พวกเธอต้องเข้าร่วมนี้]
ผมมองไปยังคุณอิมาริ และคุณอิมาริก็มองมายังผม
“งั้น พวกเราจะต้องทำอะไรร่วมกับคู่ของตัวเองล่ะ?”
ผมเอนศีรษะด้วยคำถามที่ผุดขึ้น และผมก็ได้รับคำตอบแทบจะในทันที จากคำพูดของผู้อำนวยการที่แถลงไขออกมา
[จากนี้ พวกเธอจะต้องประลองกับคู่ของตัวเอง]
“อะไรนะ....!?”
เมื่อพวกเราได้รับคำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมนี้ ผม---ไม่สิ ไม่ใช่แค่ผม แต่หหลายๆ คนทั่วทั้งห้องประชุมต่างต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
[กิจกรรมประเพณี <<พิธีคัดเลือกนักศึกษา>> กำลังจะเริ่มต้นขึ้น จะเป็นการทดสอบคัดเลือกเข้าศึกษาที่วิทยาลัยโคเรียวนี้ ผู้ที่ชนะ จะได้สิทธิในการเข้าเรียนที่โรงเรียน ในขณะที่ผู้แพ้ จะถูกเชิญให้ออกไปในทันทีหลังจากที่เก็บกู้ <<Luciful>> คืนมาแล้ว]
ต่างจากพวกเราที่ยังอยู่อยู่ในอาการตื่นตระหนก ผู้อำนวยการที่เพิ่งจะกล่าวเรื่องน่าหวาดหวั่นออกไป ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย
หลังจากที่เธอได้กล่าวคำพูดนั้นจบลงไป ทั่วทั้งหอประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบงัน---
และในที่สุด พวกเขาก็สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินได้ในที่สุด นักเรียนใหม่เหล่านั้นจึงเข้าสู่ความตื่นตระหนก
(การสอบเข้าระหว่างพิธีเปิดเนี่ยนะ...!?)
คุณอิมาริเองก็เหมือนกับผม ที่ไม่สามารถที่จะปกปิดความช๊อคในเรื่องนี้ได้ เธอบ่นพึมพำกับตัวเองในขณะที่สายตาก็ทอดไปทางผู้อำนวยการด้วยความสงสัย
“นี่มันเป็นเรื่องตลกสินะ...? ถึงจะบอกว่านี่เป็นโรงเรียนฝึกสอนทักษะพิเศษ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องให้พวกเราทำแบบนี้กันตั้งแต่วันแรกเลยนี่นา...ล-แล้วก็ หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเป็นการสอบเข้าน่ะ!? ไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่ <<เข้ากันได้>> ก็สามารถเข้าเรียนได้ไม่ใช่เหรอ!?”
“ฉันเองก็สงสัยเรื่องนั้นเหมือนกัน แล้วฉันเองก็อยากจะรู้คำตอบด้วย แล้วก็กิจกรรมประเพณีแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากของคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกสักคน?”
โทระโยนคำถามนี้ขึ้นไปยังเวทีด้วยท่าทางหยาบคายจนไม่มีใครคิดได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบศิษย์และอาจารย์
แต่คนที่ตอบคำถามนั้น ไม่ใช่ผู้อำนวยการ แต่เป็นพิธีกรที่ชื่อว่า มิคุนิ (สรุปว่ามันเป็นผู้ชายนะครับ ผมเข้าใจผิด)
[ฉันคิดว่าไม่ได้บอกอะไรอย่างว่าไม่มีการสอบเข้านะ ถึงจะเคยบอกว่าพวกเธอมีสิทธิที่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนถ้าพวกเธอ <<เข้ากันได้>> ส่วนเหตุผลง่ายๆ ที่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการสอบเข้าไม่รั่วไหลออก ก็เพราะพวกเรามีวิธีมากมายที่จะควบคุมข้อมูลพวกนี้]
ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของอาจารย์มิคุนิ ผมพอจะเข้าใจได้ว่านั่นเป็นความจริง
ห้องประชุมตกอยู่ในเสียงโหวกเหวกและความโกลาหล
[ถ้าพวกเธอเข้าใจดีแล้ว ดิฉันจะเริ่มอธิบายต่อ]
แต่เด็กหญิงในชุดดำนั้นก็มิได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก เธอได้เริ่มอธิบายกฎอย่างไม่มีรีรอ
[พวกเธอสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ในระหว่างการประลอง – หรือแปลได้ว่าพวกเธอมีอิสระที่จะเลือกใช้อาวุธได้ทุกอย่าง แน่นอนว่าอาวุธนั้นรวมไปถึง <<เปลวเพลิง>> ด้วย ผลการตัดสินจะปรากฏขึ้นเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ หรือถูกตัดสินว่าไม่อาจทำการต่อสู้ต่อไปได้แล้ว และหากผลการตัดสินยังไม่ปรากฏออกมาภายในระยะเวลาสิบนาที ทั้งคู่จะถูกปรับตกในทันที----]

“ด-เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
[มีอะไรหรือคะ?]
แม้ว่าเธอจะถูกขัดจังหวะกลางคัน แต่ผู้อำนวยการก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า และมองตรงลงไปยังเด็กสาว
“มันจะไม่รุนแรงเกินไปหน่อยเหรอคะ ที่ถอนสิทธิการเข้าเรียนของพวกเรา เพียงแค่พวกเราแพ้น่ะ!!?”
“ช-ใช่แล้วครับ เธอพูดถูก!!”
เมื่อเด็กสาวได้เริ่มพูดขึ้น ก็มีเสียงโห่ร้องมากมายจากที่ต่างๆ รอบหอประชุม
“อะไรจะเกิดขึ้นกับคนที่แพ้น่ะ!?” “อย่ามาพูดบ้าๆ นะ!!” “ใครจะรับผิดชอบกับเรื่องพวกนี้น่ะ!?”
แต่ว่า---
[....นี่เป็นแค่การทดสอบคัดเลือกที่มีอยู่ทั่วไป ผู้ที่อยู่รอดผลักไสผู้ที่พ่ายแพ้ เป็นกฎที่ต้องยึดถือตามหลักการแข่งขันเพื่อเอาตัวรอด แม้ว่าเวลาและสถานที่จะแตกต่าง แต่นี่เป็นแค่สงครามทั่วไปเพื่อการเข้าเรียน]
ผู้อำนวยการไม่ได้ตกประหม่าต่อเสียงโห่ร้องแม้แต่น้อย เธอส่งสายตาอันเย็นเยียบและคำพูดอันเสียดแทงให้เหล่านักเรียนใหม่ต้องหยุดเสียงลง
(การแข่งขันเพื่อเอาตัวรอด งั้นเหรอ...)
เพื่อตัวของตัวเอง คุณต้องแย่งชิงเอาอนาคตจากคนที่คุณต้องเผชิญหน้า
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้เกี่ยวพันถึงชีวิต แต่เมื่อคุณแพ้ หนทางก็ต้องปิดลงอยู่ดี สิ่งนี้ไม่ได้ผิดจากไปคำพูดของผู้อำนวยการแม้แต่น้อย
“ต-แต่ว่า ทำไมต้องเป็นการประลองล่ะ....!? พวกเราสอบแบบธรรมดาไม่ได้งั้นเหรอคะ....?”
หนึ่งในผู้ที่ไม่เห็นด้วย คุณอิมาริถามต่อผู้อำนวยการ
คุณอาจจะพูดได้ว่า นี่คือความเห็นของคนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ ผมเองก็เห็นด้วยกับความคิดของเธอ
[ในเมื่อวันที่พวกเธอจะต้องต่อสู้ จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน ถ้าพวกเธอได้เข้าไปยังหน่วยรักษาความปลอดภัยขององค์กรดูน ในฐานะของ <<เอ็กซี๊ด>> แล้ว จะต้องมีช่วงเวลาที่เธอถูกส่งให้เข้าร่วมการต่อสู้ที่เกี่ยวพันถึงชีวิต และแน่นอนว่า เธอไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงมันได้เพียงเพราะเธอไม่ต้องการ --- หลังจากที่ฟังไปมากขนาดนี้แล้ว พวกเธอควรจะเข้าใจแล้วนะคะ]
“....หมายความว่า <<พิธีคัดเลือกนักศึกษา>> เป็นงานแรกที่วิทยาลัยมอบหมายให้เรางั้นเหรอครับ”
[ถูกต้องที่สุดค่ะ]
ผู้อวยการยิ้มให้กับความเห็นของผม
[ถ้าพวกคุณไม่เห็นด้วยกับแนวทางของวิทยาลัยของเราแล้ว พวกคุณสามารถที่จะออกไปจากหอประชุมนี้ได้ทุกเวลานะคะ เพียงแต่ว่าพวกเราจะตัดสินทันทีว่าพวกคุณสละสิทธิในการเข้าเรียนของวิทยาลัยโคเรียว]
บรรยากาศโดยรอบหยุดนิ่ง
แน่นอนว่า พวกเราซึ่งได้รับทราบเกี่ยวกับการสอบเข้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมยังบอกให้พวกเราประลองกัน ก็คงไม่มีทางที่จะตอบรับด้วยการพยักหน้าแล้วตกลงทันทีแน่นอน
อีกประการหนึ่งคือ การประลองนี้ไม่มีการจำกัดในเรื่องอาวุธ ไม่เพียงแต่ว่าคุณจะต้องกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บ แต่ยังรวมถึงเรื่องที่จะต้องทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บอีกด้วย ซึ่งหากเกิดการผิดพลาดแม้แต่น้อย เรื่องคงจะไม่จบแค่เป็นแผลแน่ๆ เพราะฉะนั้นการตอบรับเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ทว่า—การบังคับให้พวกเราทำเรื่องนี้ โดยที่เข้าใจถึงความคิดของพวกเราดีอยู่แล้ว นั่นคงเรียกได้ว่าเหมือนกับเสียงกระซิบของปีศาจร้าย
[เอาล่ะ ก่อนที่เราจะเริ่มการประลอง มีข้อมูลสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับ <<เปลวเพลิง>> ที่ดิฉันจะแจ้งให้ทราบไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการประลอง <<เปลวเพลิง>> เป็นอาวุธที่ถูกทำให้ก่อรูปโดยใช้ <<วิญญาณ>> ผนวกกับความตั้งใจ --- และด้วยเหตุผลนั้น <<เปลวเพลิง>> จึงมีคุณสมบัติที่สามารถทำความเสียหายได้เพียง <<วิญญาณ>> เท่านั้น นั้นหมายความว่าพวกเธอสามารถที่จะลดทอนจิตต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามด้วยการโจมตีได้ และนั่นจะไม่ส่งผลในทางกายภาพ และคร่าชีวิตคู่ต่อสู้ไม่ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งนี้จึงเหมาะสมที่สุดในการเป็นอาวุธที่ใช้สยบคู่ต่อสู้]
จากคำพูดนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่ามันได้ปัดเป่าเอาความสงสัยและสร้างความโล่งใจให้กับนักเรียนที่นี่
ผมสามารถรู้สึกได้จากความโกลาหลที่ลดลงไป
คนแล้วคนเล่า ที่เริ่มตัดสินใจได้
(เป็นปัญหาจริงๆ เลย....)
การตัดสินใจของผมนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ผมยอมรับในการทดสอบนี้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องการประลอง ความเจ็บปวด หรือการทำร้ายคนอื่น
แต่มันเป็นเรื่องที่ว่า ทันทีที่การประลองเริ่มต้นขึ้น ผมจะต้องโค่นคุณอิมาริลงให้ได้
เธอเป็นเพียงแค่คนๆ หนึ่งที่ผมพบเจอครั้งแรกในเช้านี้
พวกเราได้คุยกันเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี
(แต่ว่าผม...)
“....ขอโทษนะครับ แต่ผมของถามผู้อำนวยการอย่างหนึ่งจะได้มั้ยคัรบ?”
[มีอะไรหรือคะ?]
“เกี่ยวกับคู่ของตัวเอง--- เป็นไปได้มั้ยถ้าเราอยากจะเปลี่ยนคู่ประลองน่ะครับ?”

แม้ว่าผมจะถามเธอด้วยความหวังเล็กๆ---
[...คุณจะขอให้ผู้ทดสอบให้คะแนนคุณด้วยวิชาภาษาไทยที่คุณถนัด เพียงเพราะว่าคุณทำวิชาคณิตศาสตร์ได้ไม่ดีงั้นเหรอคะ? คุณคิดว่าพวกเราจะอนุญาตงั้นเหรอคะ?]
“นั่นมัน....”
ด้วยคำพูดที่เชือดเฉือนกลับมา ผมจึงไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้เลย
อาจจะมีใครบางคนถามำถามเดียวกันมาก่อนหน้านั้นแล้วก็เป็นได้
“โทรุ ไม่เป็นไรหรอก ขอรับเอาไว้แค่ความรู้สึกก็พอแล้วล่ะ”
คุณอิมาริยิ้มให้แบบเศร้าๆ
“ชิ...!”
(มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับการทดสอบบ้าๆ นี่เลยงั้นเหรอ...!?)
แม้ว่าผมจะกัดกรามแน่นอย่างไร ผมก็ไม่สามารถที่จะหลีกหนีไปจากการทดสอบนี้ได้
ผมอยากที่จะหนีไปด้วยซ้ำด้วยการพูดอย่างง่ายๆ ว่าผมรับมือกับสิ่งนี้ไม่ได้
แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้
ผมมายังที่สถาบันโคเรียวด้วยความปรารถนาที่เกินกว่าสามัญสำนึกปกติ
เพื่อรับเอา <<พลัง>> ในการเติมเต็มความปรารถนาของตัวเอง
(บ้าเอ้ย...!)
กระนั้นแล้ว ผมก็ยังลังเลใจ
ผมไม่ควรที่จะต้องมาคิดเรื่องแบบนี้
แต่เพื่อการนั้นแล้ว ผมจำเป็นต้องเอาชนะคุณอิมาริ
“คุณอิมาริ...”
ผมเรียกชื่อของเธอ
แต่ทว่า
ผมไม่สามารถที่จะเอ่ยคำต่อไปออกมาได้
....เพราะว่าอะไรกันนะ?
ผมไม่รู้เลย
ผมคิดอะไรไม่ออก
ในขณะที่ผมกำลังวุ่นวายอยู่ในความคิด ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยอะไรออกไป---
ผู้อำนวยการก็เริ่มดำเนินการต่ออย่างไร้ความเมตตา
[เริ่มได้ El Seed(เมล็ดพันธ์แห่งพระผู้เป็นเจ้า)!! จงโอบอุ้มอนาคตของตัวเองเอาไว้ด้วยสองมือของตัวเอง!!]

Friday, December 6, 2013


[LN] Absolute Duo - ศึกศาสตรา วิญญาณแฝด Chapter 1 (2)

Part 2

<<Exceed (ผู้เหนือมนุษย์)>>
มีความหมายถึงผู้ที่ได้รับการเสริมสมรรถนะทางร่างกายผ่านสารชีวภาพนาโนแมชชีนที่เรียกว่า <<Luciful (แสงพิสุทธิ์)>> ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเมื่อหลายปีก่อนโดยองค์กรที่มีชื่อว่า สถาบันดูน
ด้วยการฉีดสารตัวนี้เข้าไปยังบุคคลที่ <<เข้ากันได้>> (หนึ่งในหมื่นคน) พวกเขาจะได้รับร่างกายที่เหนือล้ำไปกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดาและด้วยจิตใจที่พัฒนาขึ้นมานั้น พวกเขายังจะได้รับความสามารถในการทำให้ <<วิญญาณ>> ของพวกเขาปรากฏรูปขึ้นมาได้ และเปลี่ยนเป็นอาวุธที่เรียกว่า <<เปลวเพลิง>>
เพียงแต่ว่า เรื่องทั้งหมดนี้ ถูกอธิบายให้พวกเราฟังเพียงแค่ครั้งเดียวก่อนเข้ารับ <<Luciful>> จึงเป็นเหตุผลที่วันนี้ ผมได้ตอบอิมาริไปแบบนั้น แม้ว่าตัวเองจะได้เห็น <<เปลวเพลิง>> กับตาของตัวเองมาก่อนก็ตาม ผมเองก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองได้รับการชำระล้างจนกลายเป็น <<ผู้เหนือมนุษย์>> เลย
(อาจจะน่าเชื่อว่านี้ ถ้าได้ลองดูด้วยตัวเอง...)
ผมคิดว่าจะรู้สึกได้ง่ายกว่านี้ ถ้าลองทดสอบด้วยร่างกายของตัวเองดู หลังจากที่ได้รับ <<Luciful>> แล้ว แต่เพราะว่าความรู้สึกที่เฉื่อยชาเพราะถูกเผานี่ ก็เลยไม่ได้ทำอะไร ผมจึงเข้ามายังหอประชุมด้วยความรู้สึกคาใจเกี่ยวกับที่ <<วิญญาณ>> ของตัวเองเปลี่ยนเป็น <<โล่>> ขึ้นมา
....อย่างไรก็ตาม ผมไม่รู้สึกอยากจะกระโดดโลดเต้นที่นี่เลยสักนิด
ในขณะที่กำลังพูดคุยกับอิมาริเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว อยู่ดีๆ เสียงลำโพงก็ดังขึ้น
“อ่า ดูเหมือนว่าพิธีเปิดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วนะ”
ไม่กี่อึดใจ เสียงทดสอบไมโครโฟนก็ดังขึ้น –[อ่า...ทดสอบ ทดสอบ]- ดังก้องไปทั่วหอประชุม
[ทุกคน ช่วยเงียบหน่อยนะคะ พวกเราจะเริ่มพิธีเปิดกันแล้ว ฉัน มิคุนิ จะเป็นผู้ดำเนินพิธีการในครั้งนี้]
[เงียบ] – ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีอายุราวยี่สิบปลายๆ ที่ผมคิดว่าเป็นอาจารย์ของที่นี่ ได้กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งในขณะที่ยืนอยู่บนโพเดียม เสียงดังในหอประชุมจึงค่อยๆ ลดระดับลง
[งานต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนมัธยมปลายของวิทยาลัยโคเรียวได้เริ่มขึ้นแล้ว เริ่มจากผู้อำนวยการของวิทยาลัยจะให้โอวาทกับนักเรียนใหม่ทุกคน]
และในจังหวะที่เริ่มต้นพิธี ผมก็ต้องรู้สึกช๊อค
เด็กหญิงผู้รวมชุดโกธิคได้ย่างขึ้นสู่เวที เป็นคนเดียวกับที่ผมเคยเห็น
(--! นั่นมันเด็กเมื่อตอนนั้น....!?)
ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย เด็กหญิงที่อยู่บนเวทีนั้นเป็นคนเดียวกับที่ให้ <<Luciful>> กับผม
[ขอต้อนรับเข้าสู่วิทยาลัยโคเรียว ฉันคือผู้อำนวยการ ซาคุยะ ซึคุโมะ
ผู้อำนวยการงั้นเหรอ เด็กคนนี้ไม่ให้ความรู้สึกของผู้อำนวยการสักนิด และเธอก็ยังมีอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ แต่เธอก็ยังคงกล่าวปราศรัยต่อไปอย่างยอดเยี่ยม เรือนผมสีดำขลับดั่งค่ำคืน มัดเป็นสองฟาก ร่างกายอยู่ในอาภรณ์สีดำสนิท ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับครั้งแรกที่ได้พบ ทั้งน่าพิศวงและชั่วร้าย ราวกับว่าได้ปกปิดบางสิ่งเอาไว้
(ผมตกใจจริงๆ...)
ในตอนนั้น ผมคิดว่าเด็กคนนี้ ทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้... เธอก็ได้ยื่นเอา <<Luciful>> มาให้กับผม และในระหว่างที่ผมกำลังช๊อคกับ <<เปลวเพลิง>> ที่ได้รับ เธอก็หายตัวไป
(ผมไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเป็นผู้อำนวยการของวิทยาลัย.... แต่ทำไมคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงแบบนั้นจะต้องลงมาให้สิ่งนั้นกับผม....?)
เธอไม่ได้ต้องการจะช่วยผมแน่ๆ
ถึงผมจะยังคิดไม่ออกก็ตามที แต่มันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังแน่
ด้วยความที่ผมกำลังช๊อคแล้วก็ประหลาดใจ ผมจึงไม่ได้ฟังคำให้โอวาทของผู้อำนวยการแม้แต่น้อย
“ท่าทางเธอจะตกใจเอามากเลยนะ”
“อะ..อ่าครับ แน่นอนเลย เพราะว่าเธอยังเด็กอยู่ แต่...”
“มันมีรูปกับประวัติของเธออยู่ในแผ่นพับนะ นายไม่ได้อ่านเหรอ?”
“ค่าเทอมไม่ต้องเสีย สามารถใช้เว็บบอร์ดของโรงเรียนได้ตามใจชอบ มีอาหารให้สามมื้อ แล้วก็ค่าใช้จ่ายทั่วๆ ไปโรงเรียนก็ออกให้”
“แล้วอย่างอื่นล่ะ?”
ผมหันหน้าหนีไปโดยไม่พูดอะไร
“อ่านให้ละเอียดหน่อยสิ....”
“....ฉันเห็นด้วยกับผู้หญิงคนนี้นะ ชิ. ทำไมนายเป็นแบบนั้นตลอดเลย?”
ผู้ที่เข้ามาร่วมบทสนทนาอย่างกะทันหัน พร้อมกับการถอนหายใจออกมา คือเด็กนักเรียนหนุ่มที่หลับอยู่ที่นั่งทางด้านหน้า
“----! ท..โทระ!? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?”
[เธอ คนที่นั่งตรงโน้นน่ะ หยุดคุยเล่นกันได้แล้ว]
ผมเอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างไม่ได้ตั้งใจเพราะเจอคนคุ้นหน้า แล้วก็โดนตักเตือนผ่านทางลำโพงเสียง
แล้วถึงจะเงียบลงในทันที แต่ผมก็ได้ยินเสียงคนรอบข้างหัวเราะ
(อุ๊ก เด่นในทางที่ไม่ดีแล้วสิ....)
อิมาริเอ่ยขึ้นมา ในขณะที่ผมกำลังก้มหน้างุดด้วยความอาย
“นั่นเพื่อนนายเหรอ?”
“ครับ”
เด็กหนุ่มที่พูดกับผมเมื่อสักครู่ คือเพื่อนของผมที่ชื่อว่า โทระ
ถึงเราจะมาจากคนละโรงเรียนกัน แต่ผมก็ได้รู้จักกับเขาเพราะว่าพวกเราเข้าเรียนที่โรงฝึกศิลปะการต่อสู้เดียวกัน แล้วพวกเราก็มีอายุเท่ากัน และเคยใช้เวลาร่วมกันมาตั้งแต่สมัยประถม สมัยที่โทระยังเด็กนั้น เขาเป็นเด็กตัวเล็กที่สวมแว่นตาและดูเงียบๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาค่อนข้างจะทำตัวกร่างเลยทีเดียว แล้วยังปากเสียอีกด้วย แต่เขาก็มีด้านดีที่มักจะใจดีกับคนรอบข้างอยู่เสมอ และเป็นคนที่คุณสามารถพึ่งพาได้---
(แต่ผมไม่เคยคิดว่าจะมาเจอเขาที่นี่....)
ผมไม่ได้เจอกับเขามาตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยมต้นแล้ว และผมก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าเขาไปเรียนต่อที่ไหน การที่ได้มาเจอเขาที่นี่ มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริงๆ
“นายบอกใครว่าฉันเป็นเพื่อนของนายกัน? พวกเราก็แค่บังเอิญรู้จักกัน แล้วก็บังเอิญเจอกันบ่อยไปหน่อย”
“....แบบนั้นไม่ได้เรียกเพื่อนงั้นเหรอ?”
“ง...เงียบไปเถอะน่า ถ้าจะให้พูดล่ะก็ นายน่ะ----”
แล้วก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นที่ด้านหลังอีกครั้ง และมาจากเด็กสาวก่อนหน้านี้
“~~~~~~~! ยังไงก็เถอะ อย่างน้อยไอ้บ้าอย่างนายก็หัดอ่านแผ่นพับบ้างสิ!”
โทระหันหน้ากลับไป หลังจากที่ตะโกนออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
(การพูดแบบสงวนท่าที ยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลยน้า)
และในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการพูดแบบนี้ ทำให้รู้สึกโล่งใจยิ่งขึ้น ที่ได้มาเจอคนรู้จัก
“....โอ้ ผมผิดเองครับ ต่อจากเมื่อกี้ได้เลยครับคุณอิมาริ”
“อื้ม....อ่า ผู้อำนวยการ ซึคุโมะ แต่เดิมเป็นคนของสถาบันดูน เป็นองค์กรที่สร้างวิทยาลัยโคเรียวขึ้นมาน่ะ และฉันเองก็ได้ยินมาว่า เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์พันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้ด้วย”
“นั่นมันยอดไปเลยนี่ครับ ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยังเด็กแบบนี้.... ถ้าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์พันธุกรรม งั้นเธอก็ต้องเกี่ยวข้องกับ <<Luciful>> ด้วยสิครับ?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ฉันไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่....”
“...หืม แต่อาจจะเป็นไปได้นะ การได้รับ <<Luciful>> เนี่ย เป็นเรื่องของการบิดเบือนรหัสพันธุกรรมนี่นา”
คนที่ตอบแทนอิมาริที่กำลังเงยหน้าคิดด้วยความสงสัยคือ โทระที่ควรจะหันหน้าไปทางเวทีอยู่
“วิทยาลัยโคเรียวคือสถาบันวิจัยที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธอคนนั้นโดยเฉพาะ และหนูทดลองที่ถูกรวบรวมมาเพื่อการทดลองนั้น ก็คือพวกเรายังไงล่ะ”
“อุ๊ก... นายพูดจาได้ป่วนประสาทมาก...”
อิมาริทำหน้าบูดบึ้ง ตอบสนองกับคำพูดของโทระที่ตัดสินใจที่จะกระโดดมาร่วมวงสนทนาด้วย
(----หนูทดลองงั้นเหรอ...”
ถ้าหากข้อสันนิษฐานของโทระเป็นจริง การฝึกสอนเทคนิคพิเศษที่โรงเรียนแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนสวนกล่อง จะต้องไม่ใช่แค่การรวบรวมเอาตัวตนที่ผิดไปจากธรรมชาติอย่าง <<ผู้เหนือมนุษย์>> และ <<เปลวเพลิง>> ไว้อย่างเดียว แต่คงมีเหตุผลมากกว่านี้ ที่ทำให้สถานที่นี้ต่างไปจากธรรมดา
(อ่า ตราบเท่าที่ผมจะได้บรรลุเป้าหมาย สถานที่แห่งนี้จะเป็นยังไงผมก็ไม่สนหรอก)
เมื่อผมคิดได้แบบนั้นแล้ว อุ้งมือของผมก็บีบตัวแน่นมากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าโอวาทจากผู้อำนวยการกำลังจะจบลงในไม่ช้าแล้ว
และผู้อำนวยการที่ขึ้นกล่าวให้โอวาทอย่างยอดเยี่ยม สวนทางจากรูปร่างภายนอกและอายุของเธอ ยิ่งเมื่อใกล้จะจบพิธีเปิดการศึกษา น้ำเสียงของเธอยิ่งทำให้ผมต้องขนลุก
[พวกเธอทุกคนจะได้รับทักษะพิเศษและความรู้ที่แตกต่างกันจากวิทยาลัยโคเรียวนี้ แต่จงจำเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเธอไปยังที่สูงยิ่งขึ้นไป นั่นคือกฎระเบียบของโรงเรียน และสิ่งนี้ต้องเป็นที่สุดไม่มีสอง.... สุดท้ายนี้ ดิฉันจะจบพิธีต้อนรับด้วยคำพูดนี้ ที่จะกล่าวแก่พวกเธอทุกคน]
ผู้อำนวยการหยุดคำพูดของเธอเอาไว้ แล้วมองไปยังนักเรียนใหม่ทุกๆ คน---
และกล่าวคำพูดนั้นออกมา
[ดิฉันหวังว่า สักวันหนึ่งพวกเธอจะไปถึงจุดๆ นั้น เป็น <<Absolute Duo (ศาสตราวิญญาณแฝด)>>]
“หา....?”
“มีอะไรงั้นเหรอ โทรุ?”
“เปล่า เมื่อกี้นี้ ผู้อำนวยการ....”
เมื่อพิธีเปิดได้สิ้นสุดลง ผู้อำนวยการควรจะลงไปจากเวที แต่เธอยังคงอยู่ที่นั่น
และเหมือนเธอจะตอบข้อสงสัยของผมนั้น ผู้อำนวยการก็ได้เริ่มพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
[และจากนี้ไป พวกเราจะเริ่มกิจกรรมประเพณีประจำโรงเรียนของเรา นั่นคือ <<พิธีคัดเลือกนักศึกษา>>]

Friday, November 29, 2013


[LN] Absolute Duo - ศึกศาสตรา วิญญาณแฝด Chapter 1 (1)

Chapter 1 『To this 《Shield》———』

Part 1

ในชั่วขณะที่เด็กสาวผมสีเงินได้ปรากฏตัวขึ้น เสียงทั้งหมดในห้องประชุมก็ได้เงียบหายไปเหมือนในช่วงเวลาที่คลื่นน้ำกำลังม้วนกลับ
เช่นเดียวกับผมเอง ก็ต้องกลั้นหายใจจนเสียงจุกในลำคอเมื่อเห็นเธอเข้า
คุณเองจะไม่มีทางลืมเธอได้เลย หากได้พบกับเธอสักครั้ง เด็กสาวที่ให้บรรยากาศเช่นนั้นยืนอยู่ที่ทางเข้าห้องประชุมของวิทยาลัยโคเรียว
ผมสีเงินของเธอยาวสลวยลงมาถึงสะโพก ผิวที่ขาวนวลและซีดราวกับหิมะแรกตก ดวงตาสีแดงดั่งทับทิม ลักษณะของเธอไม่ว่ามองจากมุมไหนก็เป็นชาวต่างชาติไม่ผิดแน่
(อย่างกับตุ๊กตากระเบื้องแหนะ)
นอกจากลักษณะภายนอกของเธอแล้ว สัมผัสที่รู้สึกได้ยังเหมือนกับว่าเธอเป็นแค่ภาพลวงตา ทำให้ผมต้องคิดแบบนั้น
แม้ว่าสายตาจำนวนมากจะจับจ้องมายังตัวเธอ แต่กลับไม่สามารถรู้สึกได้ถึงอารมณ์ใดๆ จากใบหน้าของเธอแม้แต่น้อย
ทุกๆ ฝีก้าวของเด็กสาวผมสีเงินนี้ ดึงดูดเอาความสนใจของผู้คน ---กริ๊ง... เธอยังคงเดินต่อไปพร้อมกับเสียงของกระดิ่งที่ดังขึ้น
ฉึบ....ฉึบ.... ในสถานการณ์ที่เงียบเสียจนเสียงฝีเท้าสามารถได้ยินไปทั่ว และทุกคนจับจ้องที่ตัวเธอ กิริยาของเธอ และพฤติกรรมของเธอ ทำให้ผมคลับคล้ายกับว่าเป็นฉากในหนังม้วนหนึ่ง เด็กสาวยังคงก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจสายตานับไม่ถ้วนของผู้คนรอบข้างที่จับจ้องตัวเธอในทุกอิริยาบถ
เมื่อเธอเดินผ่านผมไปแล้วนั่งลงบนที่นั่งแถวที่สามข้างหน้าจากที่นั่งของผม เส้นด้ายแห่งความเงียบก็ขาดลง เสียงสนทนาดังอื้ออึงไปทั่ว ผสมปนเปกับเสียงถอนหายใจ
“เฮ้อ.... ฉันคิดว่านั่นแหละ ที่นายเรียกว่าสาวสวย....”
เด็กสาวในทรงผมหางม้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมพูดพลางถอนหายใจออกมา
“......นี่นาย อย่างน้อยก็ช่วยตอบฉันหน่อยสิ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาว เมื่อถูกเธอสะกิดด้วยนิ้วมือเข้าที่หัวไหล่
“เธอพูดกับผมเหรอ?”
“แล้วยังมีคนอื่นด้วยเหรอไงเล่า?”
เมื่อผมมองดูไปรอบๆ ก็เห็นได้ว่า ที่นั่งข้างๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังยังคงว่างอยู่ แต่มีเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังอ่านแผ่นพับของโรงเรียนเยื้องไปทางด้านหลัง
“....ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้สังเกตเลย”
เมื่อผมกล่าวคำขอโทษออกไป หญิงสาวก็ยิ้มให้
“คิก คิก ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่พูดด้วยง่ายนะ”
“หืม?”
“นายเอาแต่ย่นคิ้วอยู่ตลอดเวลาเลย เพราะงั้น ฉันที่ต้องนั่งข้างๆ นายเลยอยากจะทำอะไรให้หายอึดอัดหน่อยน่ะ”
“อ่า.... ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ พอดีว่ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่น่ะครับ”
“แล้วนายก็จะบอกว่า เรื่องที่คิดอยู่ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับเรื่องสาวสวยจากต่างชาติด้วยงั้นสิ?”
“ฮ่ะๆ ก็คงจะอย่างนั้น”



ผมได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ให้กับความเห็นของเธอ ในขณะที่เธอก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ฮ่าๆๆ ฉันเข้าใจน่า ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ว่าเธอคนนั้นน่ะสวยมากๆ เลย เพราะงั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นายจะต้องมองเธอ... แต่ว่า ทำไมเธอถึงได้มาที่โรงเรียนแบบนี้นะ?”
โรงเรียนแบบนี้ --- ที่ว่าเด็กสาวทรงหางม้าคนนี้เอ่ยขึ้นมา
วิทยาลัยโคเรียว เป็นโรงเรียนที่ผมตั้งใจจะเข้ามา ซึ่งแตกต่างกับโรงเรียนมัธยมทั่วๆ ไป สถานที่นี้เป็นที่รู้จักในเรื่องการฝึกฝนเทคนิคพิเศษ
และเทคนิคพิเศษที่ว่าก็คือ --- เทคนิคการต่อสู้
และสำหรับประเทศที่มีความหลากหลายอย่างญี่ปุ่นนี้ ที่แห่งนี้คือสถานที่พิเศษมากๆ ซึ่งสอนเทคนิคการต่อสู้ที่ไม่ได้มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันแม้แต่น้อยนิด
“เธอคงจะมีเหตุผลของเธอมั้งครับ”
เธอต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อเรียนเทคนิคการต่อสู้ เพราะฉะนั้นแล้ว เด็กสาวผมสีเงินคนนี้คงจะมีเหตุผลส่วนตัวเป็นแน่
“.....แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่เธอจะเติบโตที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่แรกด้วย”
“ฮ่าๆๆ ก็เป็นไปได้นะ... แต่ที่แน่ๆ คือเธอทั้งสวย ทั้งน่ารัก ให้ตายสิ น่าอิจฉาจังเลย”
“ผมเห็นด้วยนะครับ แต่ผมคิดว่าคุณเองก็สวยในแบบของตัวเองนะ”
“ฉันน่ะนะ? คิก คิก ขอบใจนะ... แต่เดี๋ยว.. ว่าอะไรนะ!? ท-ท-ทำไมอยู่ดีๆ ก็พูดเรื่องน่าอายแบบนั้นออกมาเล่า!?”
“ผมก็แค่พูดอย่างที่คิดเท่านั้นเองนะ....”
เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม เธอมีสีผมอ่อนๆ มัดรวบขึ้น เป็นความประทับใจแรกในความสดใสร่าเริงของเธอ ใบหน้าของเธอทั้งสวยและน่ารัก แล้วยังแฝงไปด้วยบรรยากาศของเด็กสาวที่กำลังเบ่งบานเป็นหญิงสาว ผมคิดว่าเธอเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เพราะเธอเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาขึ้น และตัดสินจากที่เธอสามารถที่จะเลือกหัวข้อทั่วไปที่ไม่ทำให้รู้สึกแย่ได้ ผมคิดว่าเธอน่าจะเป็นที่นิยมในช่วงมัธยมต้นแน่ๆ
“ค-คนปกติน่ะ เค้าไม่พูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาตรงๆ หรอกนะ….!!”
“งั้นเหรอ?”
“แน่นอนสิ----“
“....ขอโทษนะคะ แต่ว่าช่วยลดเสียงลงหน่อยได้มั้ย?”
เสียงโทนเรียบๆ ได้ดั้งขึ้นจากทางด้านหลังซึ่งเป็นของเด็กสาวที่อ่านแผ่นพับอยู่
“อ่า...ข-ขอโทษจริงๆ ค่ะ!”
“ขอโทษด้วยครับ ที่ส่งเสียงดัง”
“ไม่เป็นไรหรอก....ถ้าพวกเธอลดเสียงลงหน่อย ฉันก็จะไม่พูดอะไร”
เด็กสาวในทรงผมหางม้าและผมมองหน้ากัน หลังจากที่ขอโทษไปแล้ว
“อะแฮ่ม ย-ยังไงก็แล้วแต่.... ทีหลังอย่าพูดอะไรแบบนั้นอีกนะ กะทันหันแบบนี้ บางคนอาจจะเข้าใจผิดไปก็ได้....”
“ค-ครับ เข้าใจแล้ว”
ถึงผมจะพยักหน้าตอบรับ—
(ที่ว่าเข้าใจผิดนี่ เข้าใจผิดแบบไหนเนี่ย....?)
มีเครื่องหมาย “?” ผุดขึ้นมาในหัวของผม
เด็กสาวผมหางม้า เอามือวางไว้บนหน้าอกเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นเธอได้ถามผมอีกครั้งหนึ่งหลังจากถอนหายใจออกมา
“อืมม ถึงจะกลายเป็นเรื่องแปลกๆ ก็เถอะ แต่มาแนะนำตัวกันหน่อยนะ ฉันชื่อว่า นากาคุระ อิมาริ มาสนิทกันเอาไว้เถอะ”
“ผมชื่อโคโคโนเอะ โทรุ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณนากาคุระ”
“เรียกอิมาริเถอะ โทรุคุง”
อิมาริขยิบตาแล้วส่งยิ้มให้ผม
หลังจากที่แนะนำตัวกันทั้งคู่แล้ว อิมาริก็เริ่มบทสนทนาใหม่ขึ้นมา ซึ่งนั้นจะไม่เป็นอย่างอื่นไปนอกเสียจากเรื่องที่คุยกันอย่างหนาหูในหอประชุมแห่งนี้
“นี่ โทรุคุง คิดยังไงตอนที่ทำพิธีชำระล้าง <<Luciful (แสงพิสุทธิ์)>> งั้นเหรอ?”
“ก็คิดว่าจะโดนเผาตายเอาน่ะสิครับ”
“ฟุ อา ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
อิมาริหัวเราะให้กับคำตอบของผม
“.....แค่ก”
ด้วยเสียงกระแอมจากเด็กสาวทางด้านหลัง อิมาริจึงรีบเอามือปิดปากตัวเองในทันที แล้วพยายามลดเสียงลง
“ฉันเองก็เหมือนกัน คิดว่าจะโดนเผาตายซะแล้ว”
อิมาริพยักหน้าพร้อมกับส่งเสียงคิกคัก
“ถึงจะมีคนมาอธิบายให้รู้ก่อนก็เถอะนะ แต่ฉันยังรู้สึกช๊อคไม่หายเลย แต่เพราะเรื่องนี้ พวกเรา.... ไม่สิ ทุกๆ คนที่นี่ อาจจะไม่ใช่มนุษย์ปกติอีกแล้วก็ได้นะ”
“อ่า ครับ.... ถึงผมจะบอกว่าใช่ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนั้นนะ”
“นายหมายถึงกลายเป็น  <<Exceed (ผู้เหนือมนุษย์)>> ….?”
“ครับ....”

Friday, November 15, 2013


[LN] Absolute Duo - ศึกศาสตรา วิญญาณแฝด


Absolute Duo

<<เปลวเพลิง>> --- อาวุธที่ก่อร่างวัตถุจากวิญญาณด้วยพลังแห่งแห่งจิตใจ ผม โคโคโนเอะ โทโอรุ ได้รับพลังนั้นซึ่งกล่าวกันว่ามีทุกพันคน จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นผมจึงได้ตัดสินใจที่จะเข้าเรียนยังวิทยาลัยโคเรียวซึ่งเด่นในเรื่องของ <<เปลวเพลิง>> และยังเป็นโรงเรียนสอนเทคนิคการต่อสู้อีกด้วย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ <<เปลวเพลิง>> ของผมไม่ได้ปรากฏรูปออกมาเป็นอาวุธ แต่เป็นเครื่องป้องกัน นั่นก็คือ <<โล่>>

ไลท์โนเวลญี่ปุ่นโดยอาจารย์ผู้แต่ง Hiiragi Takumi และงานภาพโดย Asabu Yuu ภายใต้การสิทธ์การตีพิมพ์โดย MF Bunko J.

----------------------------------------------------------------

<<Absolute Duo>> ------.

ผมไม่มีแม้แต่เวลาที่จะมาถามถึงความหมายของคำๆ นี้

“-------อั๊ก!!”

ตราประทับที่เรียกว่า <<Astar (รอยสลักแห่งดวงดาว)>>  ปรากฏบนแผ่นอกของผม พร้อมกับปลดปล่อยไอร้อนที่รุนแรงออกมา

ด้วยไอร้อนที่รุนแรงส่งผ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้ผมหายใจติดขัดเอามากๆ

ประสาทสัมผัสทั่วร่างกายบิดงอไปมา เหมือนกับถูกเปลวเพลิงจากนรกแผดเผา

ยังก็แล้วแต่ นี่คือพิธรกรรม

พลังที่ยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ ----- ขั้นตอนที่จะรับเอาพลังงานบริสุทธิ์ของ <<Luciful (แสงพิสุทธิ์)>> เข้ามาสู่ร่าง

“อุ๊ก...อ่า...อ๊ากกกก!”

ผมได้กรีดร้องออกมา แสดงถึงความเจ็บปวดที่เนื้อหนังและกระดูกได้ถูกแผดเผา

เรียกได้ว่า ทั่วทั้งร่างกายนั้นถูกปกคลุมไปด้วย <<เปลวเพลิง>>

แต่ผมจะยอมหยุดแค่นี้ไม่ได้

เพราะว่าผมจะไม่ได้รับในพลังที่ต้องการหากไม่สามารถอดทนต่อ <<เปลวเพลิง>> นี้ได้

(ผม...ผมมีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ!!)

ใช่แล้ว ผมจะไม่ยอมหยุดจนกว่ามันจะสำเร็จ

และด้วยเหตุผลนี้ ผมจะต้องควบคุม <<เปลวเพลิง>> ที่บ้าคลั่งนี้ให้จงได้

ไม่สิ ผมต้องทำได้แน่

เพราะว่า <<เปลวเพลิง>> นี้ ------- คือ <<วิญญาณ>> ของผม

“โอ้วววววววว!!”

ผมตะโกนออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี แล้วยกกำปั้นที่ห่อหุ้มไปด้วย <<เปลวเพลิง>> ของผม

“<<จงลุกโชน>>!!”

สิ่งนั้นตอบสนองต่อ <<วจนะจำเพาะ>> จากนั้น <<เปลวเพลิง>> ที่ห่อหุ้มไปทั่วร่างกายของผมได้ลุกโชนยิ่งขึ้นไปอีก จนเหมือนกับจะแผดเผาตัวผมให้เหลือเพียงธุลี ล้อมรัดรอบแขนของผมเหมือนกับงู แล้วสาดแสงสว่างจ้าออกมา

“อึก...!”

ด้วยแสงสว่างนั้น ดวงตาของผมไม่อาจที่จะทนรับแสงไว้ได้และ------

ในที่สุดแสงนั้นก็ดับลง ผมจึงลืมตาขึ้นสังเกตที่แขนของตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น

<<เปลวเพลิง>> ของผมเปลี่ยนไปกลายเป็น <<โล่>>

“นี่คือ <<เปลวเพลิง>> ของผม...?”

“<<Irregular (สิ่งซึ่งผิดเพี้ยน)>> นั่นคือชื่อที่ฉันนิยาม”

บุคคลซึ่งคอยดูตัวผมอย่างเงียบๆ มาตลอดจนกระทั่งคำพูดสุดท้ายที่ผมพูดออกมา

ทั้งชั่วร้าย และอัปมงคล

เป็นคำที่ผมนึกได้เมื่อมองดูเด็กสาวตัวเล็กในชุดโกธิคนี้

<<Irregular>> ------ มีเพียงเหตุผลเดียวเบื้องหลังคำกล่าวของเด็กหญิง

โดยตามปกติแล้ว <<เปลวเพลิง>> เคยถูกนิยามว่าเป็น <<วิญญาณ>> ซึ่งก่อร่างขึ้นเป็นอาวุธ

เพียงแต่ว่า สิ่งซึ่งก่อร่างวัตถุขึ้นมาที่แขนขวาของผม กลับกลายเป็นเครื่องป้องกันไม่ผิดแน่

เนื้อเหล็กซึ่งทั้งหนัก หนา และแข็งแรงนี้ ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งจนไม่สามารถที่จะแตกหักหรือทะลุผ่านไปได้เป็นแน่

(แดกดันกันจริงๆ)

สำหรับตัวผมซึ่งไม่สามารถที่จะปกป้องอะไรได้เลย กลับได้รับ <<โล่>> อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการป้องกัน

ทำให้พาลนึกถึงเรื่องในอดีตที่ไม่สามารถจะย้อนกลับไปได้ -----------

เด็กสาวในชุดคลุมสีดำก็ได้หยุดผมที่กำลังอยู่ในภวังค์

“ไปได้แล้ว ไปยังเส้นทางที่ <<โล่>> นั้นจะนำพาคุณไป... แล้วฉันจะคอยเชยชม”

ในระหว่างที่เสียงหัวเราะของเธอดังก้อง เด็กหญิงก็ค่อยๆ เลือนหายไปกับความมืด

หลงเหลือไว้เพียงความเงียบงัน

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของผม ----- เรื่องราวของ โคโคโนเอะ โทโอรุ


Thursday, November 14, 2013


Sakurasou no Pet na Kanojo Thai Translation - Chapter 1 Part 4

Part 4
---------------------------------------------------------

“ยังง่วงอยู่เลย อยากจะนอนต่อชะมัด”

แต่เนื่องจากวันนี้หมดช่วงวันหยุดฤดูใบใผลิแล้ว โซราตะจึงต้องลุกจากเตียงอย่างช่วยไม่ได้

ทั้งหมดทั้งมวล เป็นความผิดของมิซากิ ที่เขานอนหลับไม่เต็มอิ่ม ทุกๆ อย่างที่เริ่มเพี้ยนไปก็เพราะมิซากิ บางทีโลกร้อง ตลาดหุ้นผันผวน ค่าเงินเยนตกต่ำ หรือการปลดประจำการของเครื่องบินคองคอดและรถไฟฟ้าก็ด้วย ทุกๆ อย่างต้องเป็นเพราะมิซากิแน่ๆ

เหตุผลจริงๆ แล้วก็คือ เนื่องจากเมื่อคืนเป็นงานเลี้ยงต้อนรับมาชิโระ จิฮิโระที่ยังคงปวดใจกับงานนัดเดทก็ได้ขังตัวเองไว้ในห้องเหมือนกับอาคาซากะ ริวโนะสุเกะ เพราะฉะนั้นจึงมีแค่ โซราตะ มิซากิ และจิน ที่ต้องเป็นคนดูแลงานเลี้ยงต้อนรับของมาชิโระ

ในช่วงระหว่างที่กำลังทำหม้อไฟที่จินเตรียมมาอยู่ มิซากิก็ฝอยน้ำลายแตกฟองแบบต่อเนื่องไร้อาการสะดุด ส่วนอีกด้านหนึ่ง โซราตะต้องคอยทำหน้าที่เป็นโล่ป้องกันให้กับมาชิโระ แต่กระนั้นแล้ว มาชิโระก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจมิซากิแต่อย่างใด แม้กระทั้งมุขตลกเสื่อมของจินก็เข้าไปไม่ถึงเธอด้วยซ้ำ ทำให้เป็นการยากมากที่จะอ่านความรู้สึกของเธอ

แม้ว่ามาชิโระจะดูต่างจากคนอื่นๆ ที่เคยพบเห็นมา แต่เธอก็ดูเป็นกุลสตรี และเงียบขรึม จนบางทีรู้สึกว่าเหมือนเธอจะหายไปทั้งแบบนั้น หากไม่ค่อยสังเกตเธอดีๆ สิ่งนี้คือสิ่งที่โซราตะสัมผัสได้จากตัวเธอเมื่อแรกเห็น หากโซราตะไม่พยายามปกป้องเธอแล้วละก็ เธออาจจะไม่สามารถที่จะอยู่ในหอซากุระนี้ได้แน่ โซราตะจึงปฏิญาณที่จะคอยคุ้มครองเธอ

หลังจากเสร็จจากมื้อเย็นแล้ว มิซากิได้วาดภาพนักกายกรรม ซึ่งกำลังโหนตัวตีลังกากลับหลังอยู่บนบาร์เดี่ยว ลงไปในหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอไม่เคยแม้แต่จะเปิดอ่านมาตลอดสามปีที่เรียน เมื่อตั้งใจดูแล้วจะพบว่ารูปวาดนั้นเทียบได้กับระดับงานภาพในอนิเมเลยทีเดียว

ส่วนมาชิโระเองก็หยิบเอาสมุดร่างภาพขึ้นมาจากกระเป๋าเดินทางแล้วลงมือวาดแมวจำนวนเจ็ดตัวทิ้งไว้รอบๆ รูปภาพนั้นทำให้โซราตะสั่นสะท้าน แมวทั้งเจ็ดตัวนั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เหมือนกับแมวจริงๆ เลย

และการวาดภาพนั้นก็เริ่มล้ำเส้นไปบนผนังห้องชองโซราตะแล้วด้วย

กิจกรรมนี้ได้เลิกราไปเมื่อราวๆ ห้าทุ่มครึ่ง แต่โซราตะกลับถูกมิซากิบังคับให้เล่นเกมต่อ

โซราตะจำไม่ได้ว่าเขาผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่อย่างน้อยก็มีปาฏิหาริย์ที่เมื่อตื่นมาแล้วไม่พบมิซากินอนอยู่บนเตียง เขาจำได้ลางๆ ว่าจินเป็นคนดึงเอามิซากิออกไปจากห้องแล้วบังคับให้กลับไปนอนห้องตัวเอง แต่โซราตะก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าเป็นฝันหรือความจริงกันแน่

และเสียงที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากนอกห้อง โซราตะจึงเปิดประตูออกมาดูข้างนอก

เขามองออกไป

“~ว้าย!~” มิซากิร้องและกระโจนอย่างรวดเร็ว โซราตะคิดว่าเป็นเพราะเปิดเทอมหรือเปล่า มิซากิถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่กระนั้นแล้ว มันช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ ทั้งที่โซราตะจำได้ว่าตัวเองถูกปู้ยี่ปู้ยำไปเมื่อคืน แต่มิซากิกลับหัวเราะร่าอย่างมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นโซราตะจึงตั้งใจที่จะส่องใต้กระโปรงของเธอเพื่อเป็นการเอาคืน สิ่งที่เห็นคือกางเกงในสีฟ้าน้ำทะเลอ่อน แต่โซราตะก็โดนจินเคาะหัวจากข้างหลังเอา

มิซากิหายไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดที่หัวยังคงอยู่

“อย่ามาหื่นตั้งแต่เข้าสิ”

จินเดินจากไปทางห้องครัว โดยไม่ให้โอกาสโซราตะแม้แต่จะบ่นได้

จากนั้นจิฮิโระก็เดินมาหาเขา

“อาจารย์ตื่นเข้าจังนะครับ”

เวลานี้เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเท่านั้น ยังมีเวลาเหลืออีกเป็นชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาเข้าเรียน

“คันดะ จำเอาไว้นะ คนเราจะแข็งแกร่งขึ้นได้ ถ้าได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย”

แม้ว่าโซราตะจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่เขาคิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับคำพูดที่เธอทิ้งเอาไว้เมื่อวาน แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่คิดไปมากกว่านี้

“ช่วยดูแลมาชิโระให้หน่อยได้มั้ย? แค่พาเธอไปห้องพักครูเท่านั้นแหละ”

“ได้ครับ วันนี้เป็นวันแรก เดี๋ยวผมจะนำทางไปโรงเรียนเองครับ”

จิฮิโระยืดแขนแล้วเคาะไปที่แผ่นอกของโซราตะ

“ครับ?”

“นายจะดูแลให้จริงๆ ใช่มั้ย? นายจะรับผิดชอบเรื่องที่จะพาเธอไปกับนายใช่มั้ย?”

“ผมบอกว่าแล้ว ผมจะทำให้”

“ดีมาก งั้นฉันจะมอบหมายงานนี้ให้นาย!”

“อ่านะ ทำไมรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ ชอบกล”

เขาคิดว่าจิฮิโระจะสวนใส่เขา แต่เธอเพียงแค่หันหน้าไปแล้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หึ หึ หึ”



เมื่อจิฮิโระจากไปแล้ว โซราตะจึงแหงนหน้าขึ้นไปมองดูนาฬิกา ขณะนี้คือ 7:40 แล้ว

เนื่องจากเขายังไม่เห็นมาชิโระเดินลงมาเลย จึงคิดว่าไปปลุกเธอน่าจะดีกว่า

“ถึงชั้นสองจะห้ามไม่ให้ผู้ชายขึ้นไปก็เถอะนะ”

พื้นส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดตามฝีเท้าโซราตะ ทำให้โซราตะว้าวุ่นใจเล็กน้อย ในมโนภาพของเขาเริ่มจะปรากฏเป็นภาพของมาชิโระในชุดนอนกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ เสียงพื้นลั่นเร่งให้เขาระวังตัวอย่างประหลาด

เพราะต้องรับมือกับมิซากิทุกวัน ทำให้โซราตะไม่ใช่ผู้ชายก็จะประหม่าเมื่อต้องพบปะกับเด็กผู้หญิง แต่กระนั้นแล้วใครจะนับว่ามิซากิเป็นเด็กผู้หญิงกันล่ะ? ยิ่งถ้ามีใครมาถามกับโซราตะแล้วละก็ เขาคงจะบอกว่ามิซากิเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเท้าของเขามาหยุดที่หน้าห้องของมาชิโระ ความกังวลใจของเขาก็พุ่งมาถึงขีดสุด ท้องของเขาเริ่มปั่นป่วนเหมือนกับมากระจุกกันที่ศูนย์กลาง

“ฉัน...กลัว?”

เขาพยายามที่จะผ่อนคลายตัวเองลง แต่น้ำเสียงที่สงบนิ่งกลับดังขึ้นแล้วฟังดูแย่กว่าเดิม

“นี่! ชิอินะ! ตื่นหรือยัง เดี๋ยวก็สายหรอก”

โซราตะรู้สึกว่าการเรียกตรงๆ ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทำให้เขาสงสัยว่ามาชิโระได้ยินหรือเปล่า

โซราตะจึงเปลี่ยนไปเคาะประตูเรียกด้วย

“ชิอินะ! ตื่นได้แล้ว! เฮ้อ ไม่ตอบกลับมาเลย”

เขาลงมือเคาะประตูให้ดังกว่าเดิม ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แต่ความเป็นจริงก็คือมีเพียงความเงียบที่ได้รับกลับมา

เขาคว้าไปที่ลูกบิดประตู แต่ทันใดนั้นก็สำนึกในสิ่งที่กำลังจะทำ

“หยุด หยุด เดี๋ยวก่อนนะ นี่ไม่ใช่ห้องรุ่นพี่มิซากิสักหน่อย คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ล๊อค”

เพื่อที่จะยืนยันทฤษฎีของตัวเอง โซราตะจึงลองบิดลูกบิดเบาๆ แต่แล้วกลับไม่มีแรงต้านกลับมาแม้แต่น้อย

“บอกแล้วว่านี่ไม่ใช่ห้องของรุ่นพี่มิซากิ คงจะไม่เหมาะถ้าจะเปิดโดยไม่ขอก่อน...”

แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม แต่วันนี้คงจะไม่ได้เรื่องแน่ ถ้าใช้วิธีเรียกจากข้างนอก

“ก็คงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะนะ”

ในที่สุดก็ได้ข้ออ้างที่จะบิดลูกบิดประตูนี้เข้าไป

เขาค่อยๆ บิดข้อมือ แล้วมองลอดผ่านหลีบประตูเข้าไป

“เห?”

ไม่มีคำนิยามใดๆ เขาเปิดประตูห้องออกด้วยความตกใจ

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

ในทีแรก เขาคิดว่าตัวเองเปิดเข้ามาผิดห้อง จึงลองตรวจที่เลขห้องอีกครั้งหนึ่ง นี่คือห้อง 202 ไม่ผิดแน่ เป็นห้องของมาชิโระ ‘ถูกต้องนะคร้าบ!’

แต่แล้ว สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า ช่างต่างกับห้องในความทรงจำเมื่อวานนี้อย่างสิ้นเชิง

บนพื้นห้องเต็มได้ด้วยกองเสื้อผ้า ชุดชั้นใน หนังสือเรียน และหนังสือการ์ตูน เกะกะเรี่ยราดเต็มไปหมดจนไม่เห็นพื้นพรม สภาพห้องไม่ต่างกับโดนพายุพัดมาหมาดๆ

หัวสมองของโซราตะผุดคำถามขึ้นมาว่า “นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?”

ตามด้วยคำๆ หนึ่ง “ขโมย”

เลือดสูบฉีดขึ้นสู่สมองกะทันหัน เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า

“เฮ้ ชิอินะ!”

โซราตะถลาเข้าไปในห้องอย่างตื่นตระหนก

มาชิโระไม่อยู่ที่เตียงและพื้นห้อง เขามองไม่เห็นร่างของเธอแม้แต่น้อย

ยิ่งเขามองไปรอบๆ เท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้น

สภาพห้องที่ยุ่งเหยิง แต่มาชิโระกลับไม่อยู่

นี่เป็นสถานการณ์คับขันอย่างแน่นอน

ขาทั้งสองข้างของโซราตะสั่นสะท้าน ทำให้เขาต้องคว้าโต๊ะเอาไว้เพื่อพยุงร่างกาย จอภาพสว่างขึ้นอย่างกะทันหัน ดูเหมือนเขาจะไปแตะโดนเมาส์เข้า

ด้วยแสงที่สว่างขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้โซราตะอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ

เขาจ้องมองมายังจอภาพด้วยความขุ่นเคือง

ในช่องปรากฏเป็นรูปวาดของชายหนุ่มรูปงามกำลังจีบหญิงสาว เขาโอบศีรษะของหญิงสาวเอาไว้แล้วค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าใกล้อย่างช้าๆ งานภาพเหล่านี้ดูยอดเยี่ยมและถูกวาดด้วยความประณีต สัดส่วนร่างกายกันดูเหมาะสมทำให้ภาพนั้นไม่ดูสมจริงจนเกินไป แต่กระนั้นช่องสนทนาก็มากและยาวจนเกินไป

ไม่ว่าจะมองในมุมไหน สิ่งนี้คืองานร่างของการ์ตูนผู้หญิงไม่ผิดแน่

“ทำไมมาชิโระ...”

โซราตะยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์โดยรอบได้ หัวสมองของเขากำลังหยุด แต่บางสิ่งก็ขยับอยู่ที่เท้าของเขา

ด้วยความตื่นตระหนก เขากระเด้งตัวกลับหลังแล้วพยายามสังเกตบริเวณใต้โต๊ะด้วยความระแวดระวัง

บางสิ่งคุดคู้อยู่ในช่องว่างเล็กๆ ใต้โต๊ะ นั่นคือ ชิอินะ มาชิโระ ที่กำลังนอนหลับอยู่ภายใต้กองผ้าล่มและเสื้อผ้าต่างๆ อย่างเป็นสุข พื้นที่นั้นดูคล้ายคลึงกับรังของหนูแฮมสเตอร์

โซราตะถอนหายใจอย่างแรงด้วยความโล่งอก ดี... ยังไงก็แล้วแต่ ดีจริงๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไร

เขามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งหนึ่ง

เขาค่อยๆ ประมวลความคิดอีกครั้งหนึ่งถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้น บางสิ่งก็ได้ผ่าเข้ามาในความคิด ถ้านั่นไม่ใช่ขโมย คำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว

‘เดี๋ยวก่อน ขอคิดสักแปปนะ’

โซราตะไม่ได้ต้องการที่จะประกาศออกมาให้ใครได้รับรู้ เขาหลับตาลงแล้วพยายามที่จะนึกหาถึงเหตุผลที่เหมาะสม

--- หรือเพราะว่าเธอไม่ใช่คนญี่ปุ่น

แต่ว่าคนชาติไหนที่จะเล่นเกมพายุหมุนบุกบ้านในห้องตัวเองล่ะ?

--- หรือว่าเธอจะนอนดิ้นกัน

แล้วนอนดิ้นแบบไหนถึงได้เป็นอย่างนี้? แถมยังไปนอนใต้โต๊ะด้วย

--- หรืออาจจะเป็นเพราะถูกมนุษย์ต่างดาวสะกดจิต

แต่ว่ามันไม่ได้ใกล้ความจริงเลยสักนิด

--- ถ้าเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะทั้งหมดนี่คือฝันก็ได้ โซราตะ นายยังละเมออยู่ใช่มั้ย

‘อ่า นั่นสิ เข้าใจแล้ว นายพูดถูก อันนี้สิที่ดูจะน่าเป็นไปได้ที่สุด’ โซราตะพึมพำอยู่คนเดียว

เมื่อได้บทสรุปที่คิดเองเออเอง โซราตะก็ย้ายตัวเองออกไปจากห้องของมาชิโระ

เขาปิดประตูห้องแล้วสูดหายใจเข้าอย่างเต็มปอด

ถึงเวลาที่จะตื่นจากฝันสักที

เขายืนทำใจสักครู่ แล้วเปิดประตูห้องเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมารับความเป็นจริง ห้องนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เห็นในครั้งแรก

ภาพทิวทัศน์ที่ปรากฏนั้น คือห้องที่ไม่น่าจะมีใครอาศัยอยู่ได้

ถึงจะบอกว่ามาชิโระนั้นต่างจากคนปกติอยู้บาง แต่โซราตะเอมาตลอดว่าเธอน่าจะอยู่ในกลุ่มคนปกติแบบเขา ซ้ำยังคิดไปด้วยว่าเธอเปรียบเสมือนแหล่งพักพิงของจิตวิญญาณแห่งเดียวที่มีอยู่ที่นี่

“...พระเจ้าครับ ผมทำอะไรผิด?”

ถึงจะรู้สึกท้อแท้ แต่โซราตะก็พยายามเดินผ่านช่องว่างเล็กๆ ท่ามกลางกองเสื้อผ้าและชุดชั้นในไปถึงโต๊ะ สำหรับเด็กหนุ่มมัธยมปลายสุขภาพดีแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสื้อผ้าสตรีที่กระจัดกระจายไปทั่วแบบนี้แล้ว คงรู้สึกแหยงๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะกับกางเกงในที่ตำตาอยู่ เป็นจุดที่เลวร้ายที่สุด

เขาพยายามที่จะไม่มอง แต่ภาพที่เห็นก็ยังฝังอยู่ในมโนภาพอยู่ดี

โซราตะชันเข่าลงแล้วพยายามเรียกมาชิโระ

“อืม... คุณชิอินะครับ? ตื่นไหวมั้ยครับ?”

เธอไม่ตอบกลับ

“นี่ นี่”

“...”

แต่ที่ได้ยินก็มีเพียงเสียงลมหายใจจากการนอนหลับ

“ผมจะดีใจมากๆ เลยนะครับ ถ้าคุณจะช่วยตื่นขึ้นมา”

“...”

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น โซราตะจึงพยายามดึงชายผ้าห่มออก แต่เพราะมาชิโระกอดเอาไว้แน่น เขาจึงต้องปล่อยมือ แล้วไปเขย่าตัวเธอจากหัวไหล่แทน

“นี่ เช้าแล้วนะครับ ถึงเวลาตื่นได้แล้ว”

“...ตอนเช้าไม่มีทางมาหรอก”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่แหละเช้าแล้วครับ! อย่าพูดเรื่องสยองขวัญสิ”

มาชิโระยกศีรษะที่จมอยู่ใต้กองเสื้อผ้าและชุดชั้นใน มองแบบลอยๆ มาที่โซราตะครู่หนึ่ง เกือบหนึ่งนาทีผ่านไป ในที่สุดเธอก็สบตามายังโซราตะ

“อรุณสวัสดิ์”

“...”

มาชิโระในทรงตื่นนอนมุดกลับเข้ารังแฮมสเตอร์อีกครั้งหนึ่ง

“ถ้าเธอลงไปนอนอีกรอบ เธอจะต้องเจอดีแน่ๆ! ถ้าเธอจะสายตั้งแต่วันเปิดเทอมละก็นะ”

“...เข้าใจแล้ว ตื่นก็ได้”

“เธอนี่ มีเหตุผลกว่าที่คิดนะ”

มาชิโระค่อยๆ คลานออกจากใต้โต๊ะแล้วยืนขึ้นด้วยอาการเหม่อลอย

ผ้าห่มและเสื้อผ้าตกลงจากตัวของเธออย่างช้าๆ

ภาพหัวไหล่ของเธอปรากฏสู่สายตาเป็นสิ่งแรก  จากนั้นเป็นแขนที่เนียนนุ่ม หน้าอกได้ขนาดและรูปร่างที่พอดี สะโพกที่แสนบอบบาง ต้นขาที่โค้งได้รูป ทุกๆ สัดส่วนประจักษ์แก่สายตาของโซราตะ

และในทันทีนั้น เลือดลมของโซราตะก็พุ่งพล่านเหมือนกับกาน้ำเดือด