Thursday, October 31, 2013


[Suicide Project] Sakurasou no Pet na Kanojo Thai Translation - Prologue + Chapter 1 Part 1

Prolouge

------------------------------------------------------------------------
ถ้าในวันหนึ่ง พวกเราโตขึ้นแล้ว มันจะรู้สึกยังไงนะ เมื่อมานึกย้อนถึงความทรงจำที่หอซากุระ?
มันจะทำให้เราชวนปวดหัวกับความบ้าบอของทุกคน?
หรือว่าจะทำให้เราคิดถึงวันที่แสนสนุกและวุ่นวาย?
ฉันคิดอย่างอื่นไม่ออกเลยนอกจากสองเรื่องนี้
เพราะว่าทุกๆ วันที่ฉันอยู่ที่หอซากุระ มันสุดยอดมากเลย
------------------------------------------------------------------------

Chapter 1 - Welcome to Sakurasou

------------------------------------------------------------------------
สิ่งแรกที่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นคือ ก้นกลมๆ ที่กำลังทับหน้าของ คันดะ โซราตะ อยู่
“ฮิคาริ เธออีกแล้วเหรอ?”
เมื่อฮิคาริได้ยินฉันเรียกชื่อ เธอก็ส่งเรียกร้องเล็กๆ ออกมาพร้อมกับยกอุ้งเท้าขึ้นมาเกาที่หลังหูตัวเอง
โซราตะไสก้นของฮิคาริออกไปจากใบหน้าอย่างไม่ใส่ใจ เขาลุกขึ้นยืนเหนือพรมสีเทา ฮิคาริที่ถูกโซราตะปลุกให้ตื่นได้ร้องประท้วง แต่โซราตะเองก็ถอนหายใจเล็กๆ เป็นการตอบ
“อนาถจังน้า...”
โซราตะขยี้ตาแก้ง่วงแล้วเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าตา ทางขอบฟ้าด้านตะวันตกเริ่มถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงคล้ายกับจะบอกเขาว่าวันสิ้นโลกใกล้จะมาถึงแล้ว
“ตื่นมาก็เจอกับก้นแมวนี่... ชีวิตวัยรุ่นของเราทำไมถึงได้อนาถแบบนี้น้า”
โซราตะเอามือข้างหนึ่งกุมที่ใบหน้า เพราะถูกอาการวิงเวียนศีรษะเข้าจู่โจม
“หรือว่าคำว่า วัยรุ่น นี่ต่างหากที่มันน่าอนาถ...”
เจ้าแมวขาวบนตักของเขาหาวออกมาเหมือนกับว่ากำลังเห็นด้วยกับเขา หลังจากนั้นแมวตัวอื่นอีกหกตัวในห้องหกเสื่อเล็กๆ ก็เริ่มร้องครางประสานเสียงกัน เพื่อบอกว่าถึงเวลาอาหารแล้ว
แมวที่ว่านั้น มีทั้งแมวขาว แมวดำ แมวสามสี แมวลายพาดน้ำตาล แมวลายพาดดำ แมววิเชียรมาศ (แมวสีครีมหน้าดำ) และแมวอเมริกันขนสั้น รวมกันเป็นทั้งหมดเจ็ดตัว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแมวที่ถูกทิ้ง และถูกโซราตะเก็บมาเลี้ยง โดยโซราตะนั้นตั้งชื่อเรียงลำดับไว้เป็น ฮิคาริ โนโซมิ โคดามะ ซึบาสะ โคมาจิ อาโอบะ และอาซาฮี
โซราตะเอง ก็ตอบสนองต่อเสียงแมวตะกละพวกนี้ด้วยเสียงท้องร้องของเขา หมายความว่า “เจ้านายของพวกแกก็หิวนะ”
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของช่วงวันหยุดฤดูร้อนแล้ว ณ วันที่ 5 เดือนเมษายน บ้านพักโทรมๆ ที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงหม่นของพระอาทิตย์ยามเย็น คือหอพักนักเรียนของโรงเรียนระดับมัธยม ของมหาวิทยาลัยศิลป์ซุยเมย์
โดยชื่อของมันคือ หอซากุระ ตั้งชื่อตามต้นซากุระขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณสนาม
ไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร หรือห้องน้ำ เป็นของส่วนรวมทั้งหมด
ใช้เวลาสิบหาทีในการเดินไปถึงโรงเรียนหรือสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด
ห้องเบอร์ 101 นี้เป็นห้องของ คันดะ โซราตะ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของภาคการศึกษาที่จะถึงนี้
ที่ผนังห้องได้ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “เป้าหมาย: หนีออกจากหอซากุระให้ได้!” นั่นคือสิ่งที่สะท้อนความคิดแรกของโซราตะในปีนี้ก่อนที่เขาจะบรรจงเขียนลงไป
เป้าหมายของเขานั่น ไม่ใช่การหาแฟนให้ได้ เข้าไปเล่นในโคชิเอ็ง ไปลงแข่งที่สนามกีฬาแห่งชาติ หรือไปอินเตอร์ไฮ แต่เป็นการหนีออกจากหอพักนี้
เหตุผลนั้นเป็นเพราะ หอซากุระนี้ค่อนข้างจะแตกต่างจากหอพักทั่วไปสักเล็กน้อย
นักเรียนที่อาศัยอยู่ที่นี่นั้น เป็นนักเรียนที่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับนักเรียนคนอื่นๆ และที่นี่จึงเป็นที่สำหรับให้นักเรียนเหล่านี้ปรับตัว หากพูดให้ง่ายขึ้น ที่แห่งนี้ก็คือสถานที่รวมเด็กที่มีปัญหานั่นเอง ต่างจากหอพักอื่นๆ เพราะที่หอซากุระนั้น ไม่มีแม่บ้าน ไม่มีโรงอาหาร เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหุงหาอาหาร ซักรีด เก็บกวาด ต้องเป็นหน้าที่ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาน่าเบื่อหน่ายสำหรับนักเรียนมัธยมปลาย ทางเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนได้กล่าวไว้ว่าเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตอย่างอิสระแก่นักเรียน แต่โซราตะคิดว่านั้นเป็นเพียงการหาข้ออ้างที่โรงเรียนหาคนมาช่วยดูแลไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ชื่อ หอซากุระ นั้นก็สามารถที่จะข่มขวัญได้แม้แต่เพื่อนเมื่อเอ่ยถึง
แต่เรื่องที่น่ารำคาญยิ่งกว่านั้นคือ ในทุกๆ เดือน จะมีกิจกรรมทำความสะอาดในบริเวณรอบโรงเรียน โดยจะมีอาสาสมัครเพื่อเดินรอบโรงเรียนและคอยเก็บขยะในบริเวณข้างเคียง เพียงแต่คำว่า บริเวณข้างเคียงของมหาลัยนั้น แม้ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ยังต้องใช้เวลากว่าสามสิบนาทีในการเดินผ่านบริเวณนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว นี่เป็นงานที่ใหญ่มากๆ และต้องใช้เวลาทั้งวันในการทำให้เสร็จสิ้น ซึ่งกล้ามเนื้อขาของเขาจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเมื่อยล้าหลังกิจกรรมนี้ทุกคราไป
และในหอพักที่ว่านี้ ก็มีวัยรุ่นชายหญิงอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่คนในขณะนี้ และมีอาจารย์อีกหนึ่งท่านที่ทำหน้าที่แนะแนวพวกเขา
และโซราตะเองก็เป็นหนึ่งในนี้ด้วย
เมื่อประมาณฤดูร้อนที่แล้ว เขาได้ถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัวโดยอาจารย์ใหญ่และได้ถูกบังคับให้เลือก
“คันดะ โซราตะคุง เธอต้องเลือกว่าจะปล่อยพวกแมวไป หรือย้ายออกจากหอพักแล้ว...”
“งั้นผมจะย้ายออกจากหอพักครับ”
โซราตะ ที่กำลังอยู่ในวัยต่อต้าน ก็ได้ประกาศกร้าวออกไปก่อนที่อาจารย์ใหญ่นั้นจะพูดได้จบประโยค ผลที่ได้รับคือ เขาได้ถูกไล่ออกจากหอพักนักเรียนในวันนั้นเอง
หลังจากที่เขาได้รู้สึกตัวว่าได้ตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตแล้ว เขาได้ระดมกำลังสมองเพื่อเรียกหาความรับผิดชอบ ซึ่งผลสรุปคือส่วนกลีบหน้าของสมองนั้นเองที่เป็นผู้ผิด (ส่วนควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม)
และเมื่อโซราตะได้ถูกส่งมาที่นี่แล้ว รุ่นพี่ มิทากะ จิน ผู้มีผีปากคบประดุจมีดโกน ได้ให้ความเห็นต่อปัญหาของเขาว่า “ถ้าฮิคาริเป็นแมวตัวเดียวที่นายเก็บมา แค่นายพยายามหาคนมาช่วยรับเลี้ยงแทนสักหน่อย ปัญหาพวกนี้ของนายก็คงคลี่คลายได้แล้ว” ถึงจะแค่ประโยคเดียว แต่นั้นก็เกิดความเสียหายต่อโซราตะอย่างจัง ทำให้เขาช๊อคไปสามวันเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็พยายามที่จะหาคนมาช่วยเลี้ยงแมวแทน
แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน แทนที่จำนวนแมวจะลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โซราตะคิดว่านี่คงเป็นคำสาปแช่งอะไรสักอย่าง
เพราะโซราตะนั้นจะเจอแมวที่ถูกทิ้งทุกๆ ที่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม ในเมื่อโชคร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ เขาก็ได้พยายามที่จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่เมื่อได้ยินเสียงร้อง เขาก็ไม่สามารถที่จะเดินห่างไปจากลังใส่แมวได้เกินสามก้าวทุกที เพราะเข้าจะรู้สึกผิดทุกครั้งไป
โนโซมิ โคดามะ และฮิคาริ ได้เข้ามาคลอเคลีย เพราะเป็นห่วงที่โซราตะกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของเขา
“อย่าเข้ามาใกล้มากสิ ฉันกำลังหาคนมาเลี้ยงพวกนายอยู่ ถ้าต้องจากกันแล้ว เดี๋ยวฉันจะร้องไห้เอาหรอก”
แมวพวกนี้จึงยอมหันกลับไปแล้วใช้อุ้งมือทำความสะอาดใบหน้าตัวเอง โซราตะจึงพาลคิดไปว่าพวกมันจะเข้าใจที่เขาพูดหรือเปล่านะ
เขาถอนหายใจออกมาเบาและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีแดงดำ
วันหยุดฤดูร้อนวันสุดท้ายทั้งที จะมีอะไรที่มีสาระมากกว่านี้บ้างได้มั้ยเนี่ย? แสงอาทิตย์ส่องทะลุหน้าต่างมาอาบบนตัวเขา พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเศร้าสร้อย
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงของหญิงสาวเล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มบนเตียง
เขาข่มอาการตกใจของตัวเองแล้วย่างเข้าไปหาต้นเสียง
นั้นเองทำให้เขาจำได้ว่าทำไมถึงต้องมานอนบนพื้นแข็งๆ ในห้องตัวเอง
ปกติแล้วเขาจะต้องนอนบนเตียง และลิ้มรสชาติของความสุขจากการนอนไปด้วย แต่ตอนนี้กำลังมีหญิงสาววัยรุ่นแสนสวยคนนึงกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยท่าทางราวกับเด็กทารก สาวสวยคนนั้นกำลังยิ้มทำปากเหมือนเลขสามของลูกแมว คล้ายกับว่าเธอกำลังฝันถึงอะไรสักอย่าง ถ้าให้บรรยายเกี่ยวกับเธอคนนี้อย่างย่อ เธอดูเหมือนกับจักพรรดินีของพวกแมว เธอดูแข็งแรงสมบูรณ์ ไร้เดียงสา และก็มีรูปร่างมีเสน่ห์น่าหลงใหล เหมือนกับแมวอเมริกันขนสั้น
กระโปรงของเธอเลิกขึ้นมาให้เห็นต้นขาที่อวบอิ่ม กระดุมเม็ดบนที่ไม่ได้ติดไว้ เผยให้เห็นถึงเนินอกที่ถูกเน้นเพราะเธอกำลังกอดตัวเองอยู่
ถ้าหากเป็นโซราตะเมื่อปีที่แล้วมาเห็นฉากที่น่าประทับใจสุดๆ แบบนี้ เขาคงจะกู่ร้อง น้ำลายไหลย้อย และลนลานเป็นแน่แท้
แต่เพราะเขาอาศัยอยู่ในหอซากุระมานานกว่าครึ่งปี ฉากแบบนี้ทำอะไรเขาไม่ได้อีกแล้ว
“รุ่นพี่มิซากิครับ ตื่นเถอะครับ”
โซราตะระอาใจกับตัวเอง แล้วลงมือปลุกเจ้าหญิงนิทราขึ้นมา คามิกุสะ มิซากิ ลุกขึ้นจากเตียงอย่าช้าๆ แล้วยืดตัวด้วยท่าทางเหมือนกับสัตว์ป่า
เสื้อของเธอเลิกขึ้นมาตามท่าทาง อวดส่วนโค้งเว้าของเอวและสะโพก ที่ทำให้คนที่พบเห็นต้องอายม้วน และสะดือน้อยๆ นั้นก็น่ารักอย่างเหลือเชื่อ แม้นี่จะเป็นทรงผมของคนที่เพิ่งตื่นนอนหมาดๆ ก็ยังสามารถทำให้ความน่ารักของมิซากิโดดเด่นขึ้นมาได้ เรียกว่าถ้าเธอเดินผ่านคนสิบคน ทั้งสิบคนยังต้องหันมามองแน่ๆ
ข้อมูลเบื้องต้นที่เป็นตัวเลขของเธอยังน่าครั่นคร้าม ส่วนสูงคือ 156 เซนติเมตร น้ำหนัก 46 กิโลกรัม สัดส่วนคือ 87,56,85 เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
มิซากิโปรยเสน่ห์ของเธอแบบไม่รู้ตัว และลืมตามองไปที่โซราตะ
~ ฉันน่ะ อนาคตอยากเป็นเจ้าสาวล่ะ ~
“ถ้าจะละเมอพูดละก็ ช่วยทำในฝันด้วยสิ นี่เป็นกฎของโลกใบนี้นะครับ”
~ ถ้างั้น ฉันจะเป็นเจ้าสาวนะ ส่วนเธอก็เป็นเจ้าบ่าว เริ่มจากตอนที่เพิ่งกลับมาบ้านจากที่ทำงานละกันน้า ~
“แล้วทำไมต้องเป็นบทต้องเป็นแบบนั้นล่ะครับ!
~ ที่รัก กลับมาแล้วเหรอค้า วันนี้กลับมาเร็วจังเลยนะค้า ~
“นี่จะเล่นจริงๆ เหรอครับเนี่ย !?
~ จะทานข้าวก่อนดี? จะอาบน้ำก่อนดี? หรือจะเล่นซูโม่ดีละค้า~?”
“ทำไมถึงเป็นซูโม่ไปได้ล่ะครับ!
~ หรือจะไปขัดอ่างอาบน้ำก่อนดี ~?
“ทำไมไม่พูดให้จบไปเลยว่า หรือจะกินฉันดีเล่า? แล้วมีภรรยาที่ไหนในโลก สั่งให้สามีไปขัดอ่างอาบน้ำหลังจากกลับมาจากที่ทำงานกันเนี่ย?”
~ เอาน่า ขนาดตัวสล๊อตขยันได้เลยเวลาจะมีอะไรกันน่ะ ~
“นี่ อย่ามาเปลี่ยนหัวข้อตามใจชอบสิ!
~ โซราตะช้าเองต่างหาก พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งนาน เธอต้องตามฉันให้ทันสิจ๊ะ ~
มิซากิชี้มาที่โซราตะ แล้วใช้คำลงท้ายเหมือนจะส่งหัวใจให้ พร้อมกับขยิบตาไปที่เขาด้วยความซุกซน

ทำไมคนที่เพิ่งตื่นนอนถึงได้ไฟแรงขนาดนี้กันนะ?
“เอาเถอะ ยังไงก็อรุณสวัสดิ์นะครับ แล้วผมก็บอกรุ่นพี่ไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้นอนที่ห้องตัวเองเนี่ย”
~ สุภาพสตรีน่ะ จะไม่ยอมเลิกราถ้าเธอยังไม่พอนะจ๊ะ ~
“นี่รุ่นพี่ยังจะต่อเรื่องตัวสล๊อตเหรอครับ!?
~ มันไม่ดีนะ ถ้าจะทำให้สุภาพสตรีไม่พอใจแล้วก็หงุดหงิดน่ะ ~“
“แต่บางทีสุภาพสตรีก็เฉื่อยชาได้นะครับ แล้วผมก็เหมือนกัน”
โซราตะยอมแพ้และยอมเล่นไปตามมิซากิในที่สุด
“งั้นวันนี้เรามาต่อจากเมื่อวานกันเถอะ”
ยังไงก็แล้วแต่ มิซากิก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องที่พูดไปเมื่อครู่ แล้วเริ่มทำอะไรบางอย่างที่หน้าโทรทัศน์ เธอหยิบเอาเครื่องเล่นเกมออกมาแล้วเปิดสวิสต์ เมื่อสิ้นเสียงปิ๊บๆ ไป เครื่องเล่นเกมก็เริ่มทำงาน พร้อมกับเสียงอ่าน ROM เกม
แต่โซราตะทำการเปิดเครื่องเกมก่อนที่เครื่องจะอ่าน ROM เสร็จ
“เอ๋~ รุ่นน้องทำอะไรน่ะ!?
มิซากิทำแก้มป่องเป็นการประท้วง ถึงจะโกรธแต่มิซากิก็ยังดูน่ารักได้ ด้วยกิริยาที่เธอช้อนตามองขึ้นมา ใครๆ ก็คงที่จะอดยิ้มไปไม่ได้แน่
แต่โซราตะจะไม่ยอมหลงไปตามน้ำเด็ดขาด
“แล้วเจ้าตัวสล๊อตไปไหนแล้วล่ะครับ?”
“เอ๋ แต่เรื่องนั้นมันน่าเบื่ออะ”
“แต่รุ่นพี่เป็นคนเริ่มมาเองนี่!?
“แต่ เล่นเกมกันเถอะ”
“รุ่นพี่ใช้คำเชื่อมผิดแล้วนะครับ! ที่สำคัญคือเราเล่นเกมกันมาตั้งแต่เมื่อวานหรือก่อนหน้านั้นแล้วนะ จนตอนนี้ผมจะตายอยู่แล้ว เพราะเราเล่นกันมาทั้งหมดสามสิบหกชั่วโมง! แค่ผมเห็นจอโทรทัศน์ก็อยากจะอ้วกออกมาเลยนะครับ! ตาผมกำลังจะเน่า! แถมยังโดนคลื่นรังสีจากจอโทรทัศน์ด้วย อีกหน่อยตัวผมจะต้องสลายเป็นฝุ่นแน่ๆ!
นี่แหละ เหตุผลที่โซราตะตื่นขึ้นมาบนพื้นแข็งๆ เพราะเมื่อวานเขาเล่นเกมมากจนสลบไปกลางคันนั่นเอง
และมิซากิก็เปิดเครื่องเกมอีกครั้งนึง
“ก็ได้ งั้นทุกๆ ครั้งที่รุ่นน้องเอาชนะฉันได้ ฉันจะถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นให้ด้วย เป็นไงล่ะ!? นี่เป็นตัวถนอมสายตาอย่างดีเลยนะ! เป็นอาหารสายตา! แถมยังช่วยให้เลือดสูบฉีดดีด้วย! เป็นพลังของวัยรุ่นยังไงล่ะ! แล้วก็เป็นก้าวแรกของรุ่นน้องที่จะไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่! ห่วงโซ่ของความหื่นกระหายไงล่ะ!
“ถ้าจะให้รุ่นพี่ถอดเสื้อผ้าล่ะก็ ให้ผมไปปอกหัวหอมยังกระตุ้นเลือดลมในกล้ามเนื้อฟองน้ำ (กล้ามเนื้อตรงส่วนอวัยวะเพศชาย) ได้ดีกว่าซะอีกนะ”
“นั่นก็เพราะเธอเอาแต่คิดว่า เหวอ! มีอะไรสีขาวๆ ออกมาด้วย!’ ใช่มั้ยล่า? ฉันจะประมาทเธอไม่ได้หรอก แต่ว่าถูกกระตุ้นเพราะผักนี่คงเป็นเพราะขีดจำกัดของเด็กม.5 สินะ พวกเด็กผู้ชายสายกินพืชนี่ใช้ไม่ได้เลย เธอจะต้องกินให้เหมือนอดอยากยิ่งกว่านี้สิ เด็กม.ปลายน่ะ ต้องการเนื้อต่างหาก ต้องเนื้อเท่านั้น! เข้ามาเลยรุ่นน้องของฉัน! ก้าวข้ามไปสู่โลกของสัตว์กินเนื้อด้วยกันเถอะ!
ในระหว่างที่พูด มิซากิก็ดันหน้าอกอันอวบอิ่มของเธอขึ้นมา พร้อมทั้งส่ายไปมาจนกระเด้งเหมือนกับพุดดิ้ง โซราตะได้ตกอยู่ใต้สัญชาติญาณของความเป็นชายที่น่าอดสู ทำให้ไม่สามารถละสายตาไปจากที่นั้นได้เลย
ถึงจะเป็นแบบนั้น โซราตะใช้กำลังใจทั้งหมดในการขัดขืนอำนาจยั่วยวนนั้น
“ให้ผมนับรุ่นพี่เป็นผู้หญิงไม่ได้หรอกครับ ถ้ารุ่นพี่ยังทำตัวน่าไม่อายแบบนี้! ปล่อยผมไปเถอะครับ หยุดโปรยเสน่ห์ความน่ารักเกินความจำเป็นนั้นได้แล้ว ไม่อย่างนั้นผมจะเสียความน่าเชื่อถือในหมู่พวกผู้หญิงไปนะครับ”
“ในที่สุดเราก็ผ่านอุปสรรค์ในเรื่องความแตกต่างระหว่างเพศจนมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แล้วสินะ ยินดีด้วย รุ่นน้องเอ๋ย! เรามาฉลองด้วยกันเล่นเกมโต้รุ่งด้วยกันเถอะ!
“นี่มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยนะ! รุ่นพี่เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดถึงได้สรุปอะไรแบบนั้นได้ล่ะครับเนี่ย!? คุณเอเลี่ยน ได้โปรดกลับดาวของตัวเองได้แล้ว!
ในช่วงระหว่างวันหยุดฤดูร้อน โซราตะได้ถูกมิซากิบังคับให้เล่นเกมโต้รุ่งมาตลอดจนถึงตอนนี้ แล้วก็พลอยหลับไปในตอนกลางวัน ทำให้วันนี้เขาหวังว่าจะได้มีวันแบบธรรมดาที่สงบสุขสักวันนึง
“รุ่นน้องมีเรื่องพูดแค่นี้ใช่มั้ยจ๊ะ!?
“ถ้ารุ่นพี่คิดว่าผมมีเรื่องจะพูดแค่นี้ คิดผิดแล้วครับ! รุ่นพี่เอาแต่ใจตัวเองมากไปแล้ว! ที่นี้คือประเทศเสรีนะครับ!?
“ง้นเรามาจบเรื่องนี้ด้วยเกมกันเถอะ! มาประลองกันด้วยเลือดล้างเลือดจนกว่าร่างของพวกเราคนใดคนหนึ่งจะสูญสลาย!
“ได้เลยครับ.... ไม่ใช่ล่ะ! ผมบอกแล้วไงว่าวันนี้จะไม่เล่นเกมน่ะ!
โซราตะคิดว่ามิซากิจะต้องโกรธแน่ๆ แต่กลับไม่ใช่ มิซากิดึงแผ่นเกมออกแล้วใส่แผ่นซีดีอีกแผ่นเข้าไป และเมินที่โซราตะพูดทั้งหมด
~ ฮึม! งั้นก็ไม่เป็นไร ถ้ารุ่นน้องไม่อยากเล่นเกมขนาดนั้น งั้นมาช่วยฉันดูตัวอย่างวีดีโอนี่หน่อยก็แล้วกัน ~
บนจอภาพเริ่มแสดงหมายเลขนับถอยหลังห้าวินาทีเหมือนกับภาพยนตร์เก่าๆ
“นี่คืองานใหม่ของรุ่นพี่ใช่มั้ยครับ?”
~เพิ่งตัดต่อเสร็จเช้าเมื่อวานเลยล่ะ เพราะงั้น อันนี้งานใหม่ปิ๊งๆ เลยนะ เตรียมตัวรับชมได้เลย ~
“แต่ตัวผมเองคงไม่ใหม่เท่าแล้วล่ะครับ”
หลังจากตัวเลขนับเวลาถอยหลังหมดลง งานออริจินัลอนิเมของมิซากิก็ฉายผ่านโทรทัศน์ออกมา ไม่มีเสียง ไม่มีดนตรีประกอบ หรือซาวด์เอฟเฟกต์ใดๆ ดังขึ้นมา เพราะอนิเมนี้ยังไม่ได้ใส่เสียงลงไป แต่กระนั้นก็ตาม ความลื่นไหล มีความชีวิตชีวา และความเข้มแข็ง ก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างดีเยี่ยม เธอทำได้กระทั่งจับตัวละครสองมิติไปโลดแล่นในฉากสามมิติได้ นำเสนองานที่ผสมผสานของรูปภาพสมัยใหม่ ตัวละครและฉากนั้นถูกวาดอย่างสวยงามและพิถีพิถัน และลำดับฉากนั้นก็ถูกจัดเรียงอย่างเหมาะสม องค์ประกอบดูมีเอกลักษณ์ การวาดภาพเหล่านี้คงจะใช้พลังงานแคลอรี่ไปมากพอดู... มันเป็นเรื่องที่ยากต่อการจินตนาการว่าคนๆ เดียวจะทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไรและแน่นอนว่าคุณภาพของงานนั้นไม่ใช่ระดับภาพของเลย์แมน (Layman) แต่เหล่านี้คือภาพงานระดับสูงของวงการอนิเมเลยทีเดียว
โรงเรียนมัธยมปลายนี้ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยศิลป์ซุยเมย์ ซึ่งนอกจากชั้นเรียนตามแบบปกติของโซราตะแล้ว ยังมีชั้นเรียนพิเศษอย่างชั้นเรียนดนตรี และศิลปะ ซึ่งเป็นที่หมายตาของพวกหัวกะทิ และหัวกะทิเหล่านี้ ก็มาจากทั่วประเทศ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกระดับสูงลิบเพื่อที่จะเข้ามาเรียนในชั้นพิเศษได้
และมิซากิก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่หกของชั้นเรียนศิลปะ
เธอเป็นนักเรียนที่มีคุณสมบัติในการรับทุนการศึกษาในระดับที่สักสิบปีจะมีสักคนนึง ด้วยความพยายามและผลงานที่สร้างสรรค์การ์ตูนและอนิเมทั้งหลาย เธอเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในโรงเรียนนี้ทั้งในชื่อด้านดีและด้านเสีย
“ยอดไปเลยครับ”
มิซากิเมินเฉยต่อคำชมของโซราตะ ซึ่งเป็นคำชมที่ใครก็ตามที่ได้ดูคงจะพูดออกมาเหมือนๆ กัน เพราะตอนนี้เธอกำลังง่วนอยู่กับการใส่เสียงประกอบฉากด้วยปากเปล่า
~ ตูม! ตูม! ก๊อง! พลั๊ก! ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถึงจุดจบของแกแล้ว!’ แคล๊ง! พลั๊ก! ติ้ง ตะดั๊ด ดัด ดัด ดัด แกยังอ่อนเกินไป โกหกเป็นอย่างเดียวหรือไง’ ‘ก-แกพูดอะไรของแก?’ ‘ถอดกางเกงในออกมาแล้วทำอีกรอบซะ แกมันก็แค่เด็กน้อยที่ด้อยประสบการณ์!’ ฟู่ฟู่ ชะลา ลาลาล แต้นแต้น!~“
แต่ว่า การแสดงด้วยเสียงของมิซากินั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่วีดีโอกำลังฉายแม้แต่น้อย
เธอกำลังจินตนาการบ้าอะไรอยู่กันนะ?
ในช่วงที่จอภาพดับลงไป มิซากิก็ค่อยๆ สงบลง
วีดีโอความยาวห้านาทีนั้นยอดเยี่ยมจนคิดว่ามันยาวนานกว่านั้นหลายเท่า
~ งานที่ฉันจะต้องทำคือต้องแก้ใหม่ให้ดีกว่านี้ ~
มิซากิดึงแผ่นออกมาจากถาดพร้อมทั้งบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แสดงความผิดหวังและท้อใจ ถึงเธอจะเอาแต่พูดไร้สาระ แต่คนที่ทำงานแบบนี้ออกมาได้นั้นน่าพิศวงมาก
“แต่ผมไม่เห็นว่าจะต้องแก้ไขอะไรเลยนี่ครับ”
~นี่ รุ่นน้อง~- เธอยังอ่อนเกินไป การต่อสู้ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นเมื่อเธอคิดว่ามันจบแล้วต่างหากเล่า ศัตรูที่แท้จริงมันอยู่ในใจเราต่างหากล่ะ!~“
“อ๋อ งั้นเหรอครับ?”
~ อ่า ใช่แล้ว เธอคิดว่าเราจะให้นานามิมาช่วยพากย์ให้ได้มั้ย?”
นานามิที่ว่า เธอหมายถึง อาโอยามะ นานามิ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ชั้นเดียวกับโซราตะ เธอมีความฝันที่จะเป็นนักพากย์ และตอนนี้เธอก็กำลังเรียนเพื่อที่จะให้ได้เป็นนักพากย์อยู่ เธออยากเป็นถึงขั้นใส่มันลงไปในแบบสำรวจว่าเธออยากจะไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยสาขาการแสดง
อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียนที่ขึ้นกับมหาวิทยาลัยศิลป์ซุยเมย์ก็เป็นได้ นักเรียนจำนวนมากได้ตั้งเป้าหมายของตัวเอง และพยายามที่จะไปให้ถึงเป้าหมายอย่างกระตือรือร้น
สำหรับในหอซากุระนั้น ก็มีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกคนหนึ่ง ที่ตั้งเป้าหมายที่จะเข้าคณะศิลปะและวรรณกรรม เขาต้องการที่จะเป็นคนเขียนบทละคร ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า เขากำลังทำงานเกี่ยวกับการเขียนเกมอยู่แล้ว และตั้งใจที่จะเข้าสาขาสื่อมวลชน
ต่างจากนักเรียนคนอื่นๆ ที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจน โซราตะนั้นไม่ได้เขียนอะไรลงไปในแบบสำรวจ เขาถูกเรียกตัวไปที่ห้องพักครูและได้รับการบ้านปิดเทอมคือไปกรอกแบบสำรวจเส้นทางอาชีพ
อีกด้านหนึ่ง มิซากิที่อยู่ปีสูงกว่าโซราตะปีนึง ได้เขียนลงไปในแบบสำรวจเส้นทางอาชีพว่า มันเจิดจ้าเกินไปจนมองไม่เห็นเลยล่ะก็ได้ถูกเรียกไปห้องพักครูเช่นกัน และโดนอาจารย์เทศนายาวเป็นสามเท่าของโซราตะ กระนั้นแล้วอาจารย์ที่กำลังดุมิซากิ ก็โดนสวนกับไปด้วยภาษามนุษย์ต่างดาวของเธอ แต่มิซากิเองก็ได้รับบาดแผลทางจิตใจอยู่ไม่น้อย เธอตัดสินใจที่จะเดินไปยังเส้นทางอาชีพของเธอโดยไม่หันหลังกลับ นี่เองเป็นครั้งที่สองที่เธอต้องพบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยครั้งแรกนั้นเป็นอาจารย์ที่สอนมิซากิในช่วงชั้นประถม
“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะบอกเธอให้เอง”
~ งั้นช่วยหน่อยน้า อย่าลืมมาช่วยทำงานบันทึกเสียงด้วยล่ะ ~
“งั้นรุ่นพี่ก็ช่วยเลี้ยงข้าวกลางวันจากโรงอาหารให้ด้วยนะครับ”
~ ได้เลย ~
จริงๆ แล้วมิซากิสามารถเลี้ยงข้าวโซราตะได้ทั้งปีด้วยซ้ำ เพราะอนิเมยาวสามสิบนาทีที่มิซากิอัพโหลดไปยังเว็บไซต์อนิเมเมื่อช่วงกลางฤดูร้อนที่แล้วนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด เธอได้รับคำวิจารณ์ในทางบวกในทันทีพร้อมกับยอดเข้าชมอีกเป็นล้าน บริษัทมากมายเข้าหารือกับเธอเพื่อทำการแปลรูปงานอนิเม ยอดขาย DVD ในช่วงต้นปีนั้นสูงถึงระดับแสนแผ่น เหมือนกับจะเยาะเย้ยในช่วงที่เศรฐกิจซบเซาแบบนี้ ครั้งหนึ่งโซราตะเคยแอบดูยอดเงินในบัญชี ซึ่งเขาก็ได้เห็นตัวเลขที่บ่งบอกได้เลยว่าต่อให้นั่งเล่นเฉยๆ ไปชั่วชีวิตก็ยังใช้ไม่หมดเลยทีเดียว
สำหรับบทอนิเมนั้นถูกเขียนโดย มิทากะ จิน ผู้เป็นสุดที่รักตั้งแต่สมัยเด็กของมิซากิ ซึ่งตอนนี้เขาก็อยู่ที่หอซากุระเช่นเดียวกัน
เนื้อเรื่องนั้นเกิดขึ้นที่เกาะจำลองที่ห่างไกลจากดาวโลก เรื่องนี้เป็นแนววิทยาศาสตร์ เริ่มโดยมีเด็กหนุ่มผู้เงียบงันคนหนึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนั้น ได้พบกับเด็กผู้หญิงจากด้านนอก
ในทีแรกนั้น ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ด้วยความราบรื่นจนเกินไปนั้น ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มนั้นไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย เด็กสาวจึงต้องเป็นคนเริ่มสารภาพรักก่อน และเริ่มอยู่ด้วยกัน เด็กสาวมอบจูบแรกให้แก่เขา แต่เด็กหนุ่มกลับไม่เกิดความรู้สึกใดๆ
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวกลับพลิกผัน เกิดเรื่องราวประหลาดขึ้นรอบๆ ตัวของพวกเขา จึงมาถึงจุดเปลี่ยนของเรื่องราวนี้
แต่แรก เด็กหนุ่มไม่เคยรู้ว่าตัวเองนั้นอาศัยอยู่ที่เกาะจำลองนี้ จนเมื่อวันนึงเขาได้รับรู้ความจริงว่าตัวเองไม่ได้อาศัยอยู่บนโลก ที่อยู่ของตัวเองนี้เป็นเพียง “สิ่งหลอกลวง” เป็นเพียงเกาะขนาดใหญ่ที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางอวกาศอันไพศาล โลกที่เขาได้รับรู้นั้นไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไปแล้ว เพราะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเอง
เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าที่ผ่านมาสิบหกปีนั้นตัวเองถูกหลอกลวงมาโดยตลอด เขาถูกทำให้คิดว่าตัวเองอาศัยอยู่บนโลก นอกจากนี้ พ่อแม่ที่อาศัยอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แม้เพื่อนๆ ของเขาจะรู้ แต่ก็ปิดบังมาโดยตลอด แต่เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้ สิ่งต่างๆ จึงได้ถูกเปิดเผยออกมา ชีวิตกว่าสิบหกปีของเขาเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
นั่นคือแผนการของรัฐบาลโลก เพื่อดำเนินแผนการต่อสู้ที่ไร้จุดจบที่เรียกว่า เรือแห่งโนอาห์รัฐบาลได้รวบรวมเด็กจากที่ต่างๆ ซึ่งมีคุณสมบัติคือ ไร้ซึ่งความเจ็บปวด หวาดกลัว โกรธเกลียด และเคียดแค้น เพื่อสร้างกองทัพในอุดมคติขึ้นมา และเกาะแห่งนี้ก็คือเรือ ส่วนตัวเขาก็เป็นเพียงหนูทดลองเท่านั้น
แผนการนั้นสำเร็จไปกึ่งหนึ่งแล้ว เด็กชายนั้นสับสนเมื่อได้รู้ความจริง เขาลนลานและสั่นเทาจากความกลัว สุดท้ายเขาก็เสียสติและบ้าคลั่งจากความขัดแย้งภายในจิตใจของตนเอง เมื่อเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง เกาะจำลองจึงลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ
สุดท้ายรัฐบาลจึงได้ลงมือเพื่อกำจัดเด็กหนุ่มคนนี้ แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ได้กลับมาหาเขา เพื่อที่จะปกป้องคนที่รัก แต่ศัตรูก็ได้รายล้อมทั้งสองคนนั้น และสุดท้ายเด็กผู้หญิงจึงถูกยิงที่หน้าอกจนเสียชีวิตในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มนั้นเอง
เมื่อเด็กผู้หญิงตายจากไป เด็กหนุ่มจึงได้เข้าใจในบางสิ่ง ว่าแม้ทั้งโลกจะเต็มไปด้วยสิ่งหลอกลวง แต่ความรู้สึกที่เขาได้รับจากเธอนั้นคือของแท้ ทั้งความรัก ความอ่อนโยน และสัมผัสที่ได้รับจากเธอ คือของแท้แน่นอน
ในตอนนั้นเอง เด็กผู้ชายได้หลั่งน้ำตาครั้งแรกในชีวิต น้ำตาแห่งความโศกเศร้าได้หลั่งไหลออกมาจากเด็กผู้ชายที่ไร้หัวใจ นี่เองเป็นฉากที่อบอุ่นอย่างน่าประทับใจซึ่งทำให้ผู้ชมทั้งหมดตกอยู่ในอารมณ์เดียวกันได้
โซราตะเองก็เสียน้ำตาไปเมื่อเขาได้ดูเรื่องนี้ในครั้งแรก เขาไม่สามารถที่จะต้านทานฉากที่สามารถนำพาไปสู่การแสดงอันยอดเยี่ยมแบบนี้ได้
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มิซากิได้สร้างสรรค์ออกมาด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ลำดับฉาก องค์ประกอบ ภาพวาด การเคลื่อนไหว สีสัน ฉากหลัง และการสังเคราะห์ การถ่ายภาพ ตัดฉาก บันทึก เอฟเฟกต์ เพลงประกอบ หรือแม้แต่การตัดต่อวีดีโอ ที่ควรจะใช้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในการทำงาน มิซากิสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว
เธอนั้นไม่ได้ทำเป็นแต่งานอนิเม แต่ในชีวิตจริงก็ยังก็ทำได้ดีด้วย เธอสามารถทำงานแสดงที่ใช้ทั้งทักษะและความเข้าใจในรสนิยมได้
แม้ว่างานเสียงจะถูกส่งต่อไปยังเพื่อนของเธอที่เชี่ยวชาญในด้านงานดนตรี แต่มิซากิเองก็ยังสามารถทำงานจำนวนมากให้เสร็จได้ด้วยตัวเอง แถมยังเป็นงานระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย
ด้วยงานอนิเมที่มิซากิทำขึ้นมา ทำให้โซราตะนั้นรู้สึกในใจว่าพระเจ้านั้นช่างไม่ยุติธรรม มิซากินั้นถูกเลือกสรรให้มีพรสวรรค์ที่มากมายนัก แต่ตัวเขากลับไม่ได้รับอะไรเลย
“เอาล่ะ! เริ่มงานกันเลยดีกว่า!
มิซากิยืนขึ้นแล้วบิดขี้เกียจ เธอหมดความสนใจในตัวโซราตะแล้วก็วิ่งออกจากห้องไป เสียงบันไดครางดังขึ้นมาแล้วตามด้วยเสียงมิซากิวิ่งลอดลงมาจากเพดานชั้นบน เห็นได้ว่าห้องมิซากินั้นอยู่บนห้องของโซราตะนั้นเอง
“ฉันจะต้องออกไปจากที่นี้ ก่อนที่ตัวเองจะบ้าตามไปด้วย...”
“ขอเข้าไปหน่อย”
“หวังว่าจะไม่รบกวนนะ”
เซ็นโกคุ จิฮิโระ อาจารย์ศิลปะผู้แต่งหน้าอย่างประณีตและรวมชุดออกศึกกำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้อง เธอเป็นผู้ดูแลหอซากุระแห่งนี้ และเธอก็อาศัยอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับโซราตะ ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะทำหน้าที่ผู้ดูแลสักเท่าไหร่ “เหวอ! ทำไมอาจารย์แต่งหน้าหนาแบบนั้นล่ะครับ อย่างกับจะไปเล่นงิ้วอย่างนั้นแหละ”
“โซราตะ เด็กอย่างนายคงไม่เข้าใจเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ละสิ”
ระหว่างนั้นเธอก็ขยิบตาให้โซราตะไปด้วย จนมาสคาร่าแทบจะกระเด็นออกมา
โซราตะรู้สึกเวียนหัวเล็กๆ แต่ก็ฝืนใจยิ้มแบบแห้งๆ ให้
“เอาเถอะครับ ยังไงนั่นก็เป็นความคิดของผมล่ะนะ”
“ฉันกำลังจะไปหาหนุ่มๆ มาเป็นสามีน่ะ คอยดูนะ”
“อาจารย์มาเพื่อจะบอกผมเรื่องนี้เหรอครับ?”
“ทำไมฉันจะต้องมารายงานเรื่องนั้นให้เธอด้วยล่ะ?”
“ผมก็ไม่อยากจะฟังเรื่องนั้นเหมือนกันแหละครับ”
“นายนี่ก็เป็นแค่เด็กที่ชอบเถียงข้างๆ คูๆ นั่นแหละ - เอ้า รับนี่ไป”
เธอยื่นรูปเด็กผู้หญิงอายุราวๆ ห้าหรือหกปีมาให้
“ลูกนอกสมรสของอาจารย์เหรอครับ?”
“เธอเป็นหลานฉันเอง ตั้งแต่วันนี้เธอจะมาอยู่ที่นี่น่ะ”
“ครับ”
“เธอชื่อว่า ชิอินะ มาชิโระ พวกเรานัดเจอกันที่สถานีตอนหกโมง เพราะงั้นนายไปรับเธอด้วยนะ”
“หา?”
“บอกแล้วไงว่านัดเจอกันตอนหกโมงที่สถานี ไปรับเธอซะ ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก็เพราะว่าได้ยินนี่แหละครับ ถึงได้ว่าถามว่าอาจารย์หมายถึงอะไรกันแน่!
“พอดีฉันมีนัดแล้วน่ะ เป็นคุณหมอ อ่า คุณหมอนั่นแหละ! อาจจะยากไปสักหน่อย ดูเหมือนว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องทำซะแล้วล่ะ! ว่าแต่นาย เหมือนจะว่างอยู่นี่นา? หน้านายมันเขียนไว้ว่า ผมว่างครับ อยู่ด้วยแหนะ”
“อาจารย์กำลังพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดสำหรับการเป็นครูอยู่นะครับ ว่าแต่ท่าทางวันนี้อารมณ์ดีจังนะ แต่วันนี้ผมคงช่วยอาจารย์ไม่ได้ เพราะวันนี้ผมจะต้องค้นหาเส้นทางชีวิตตัวเอง”
“นายพูดอะไรของนายเนี่ย?”
“ก็อาจารย์เป็นคนบอกให้ผมทำแบบสำรวจเส้นทางชีวิตไม่ใช่เหรอครับ!
“อ่า งั้นนายก็เขียนอะไรสักอย่างลงไปสิ อย่างเช่น ผมอยากเป็นนักบิน อะไรแบบนั้น”
“ผมไม่ใช่เด็กประถมนะครับ!
“อยากเป็นคนรวยก็ได้นะ”
“แย่กว่าเดิมอีก!?
“นายมันขี้เหนียวชะมัด ถ้าคิดไม่ออกจริงๆ ก็แค่เขียนไปว่า “เข้ารับการศึกษาต่อ” ก็ได้นี่นา อาจารย์ที่ห้องพักครูคงไม่มีปัญหาหรอก”
“ทำไมไม่บอกใช้คุณจินไปรับให้ล่ะครับ เค้าก็ว่างเหมือนกัน”
 “ นาย จักรพรรดิเสเพลวันนี้ไม่อยู่หรอกนะ หมอนั่นคงจะยื่นหน้าหล่อๆ กับท่อนล่างที่ซุกซนพาหญิงไปที่ไหนแล้วก็ได้”
“นี่อาจารย์ยังเป็นครูอยู่เหรอครับเนี่ย? ช่วยระวังตัวเองในฐานะที่ทำอาชีพอันศักดิ์สิทธิ์หน่อยสิครับ! โถ่!
“ระวังตัวเองในฐานะที่ทำอาชีพอันศักดิ์สิทธิ์? ฉันลืมเรื่องนั้นไปตั้งแต่เป็นตัวอสุจิแล้วล่ะ”
“เหวอ น่ากลัวชะมัด นี่ผมเพิ่งจะเคยได้ยินผู้หญิงพูดเรื่องอสุจิได้หน้าตาเฉยเป็นครั้งแรกเลยนะ สมแล้วที่เป็นผู้หญิงขึ้นเลขสาม พลังระดับนักรบอเมซอนเลยนะเนี่ย”
ขนคิ้วจิฮิโระกระตุกขึ้นมา
“ว่าใครขึ้นเลขสามย่ะ! ฉันอายุยี่สิบเก้าปีกับสิบห้าเดือนต่างหาก!
เธอกระทืบเท้าแรงจนพื้นสั่น ด้วยความรู้สึกถึงภัยอันตราย โซราตะต้องยอมถอนคำพูดเกี่ยวกับนักรบอเมซอนออกไป
“แล้วอาคาซากะล่ะครับ น่าจะอยู่ด้วยนี่นา”
โซราตะมองไปยังผนังห้องเบอร์ 102 โปรแกรมเมอร์ที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกัน อาคาซากะ ริวโนะสุเกะ
“ขานั้นน่ะ ไม่ไหวหรอก หมอนั่นเคยออกมาที่ไหนกัน! ใช้สามัญสำนึกหน่อยสิ อ่า ถ้าไม่ไปตอนนี้ต้องสายแน่ๆ! ฝากนายด้วยล่ะกัน อย่าลืมไปรับเธอด้วยล่ะ!
จิฮิโระเปิดประตูอย่างแรงด้วยความกระตือรือร้น ทำให้บานพับประตูหลวม จนประตูเฉไปทาง แมวตัวหนึ่งได้เข้ามาอิงโซราตะคล้ายกับจะพูดว่า ซ่อมยังไงก็ไม่หายหรอก
โซราตะจ้องไปที่จิฮิโระผ่านพร้อมทั้งส่งกระแสจิตไปว่า ขอให้ไปไม่ทันนัด
หลังจากนั้น โซราตะหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาริวโนะสุเกะ
ทันทีที่กดส่งไป เขาก็ได้รับข้อความตอบกลับมาแทบจะในทันที
<<ท่านริวโนะสุเกะกำลังเขียนมิดเดิ้ลแวร์ (Middleware) สำหรับบีบอัดเสียงให้กับบริษัท ก. อยู่ค่ะ ถึงจะน่าเบื่อ แต่เจ้านายก็ยังทำต่อไปด้วยความรับผิดชอบในงาน เพราะงั้น ถึงท่านโซราตะจะส่งข้อความมา ดิฉันก็ไม่สามารถที่จะส่งต่อไปให้ท่านริวโนะสุเกะได้ค่ะ ต้องขออภัยในความไม่สะดวก หวังว่าท่านโซราตะจะเข้าใจด้วยนะเจ้าคะ เมดที่ทำหน้าที่เป็นเลขา>>
เมดเป็นโปรแกรมเอไอที่ริวโนะสุเกะพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบข้อความแบบอัตโนมัติ ถึงโซราตะจะไม่รู้ว่าเขาพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร แต่มันก็ฉลาดและมีอารมณ์ขันอย่างน่าเหลือเชื่อ มันสามารถที่จะเลือกใช้คำในชีวิตประจำวันได้ รู้จักภาษาวิบัติ แถมยังเลือกใช้คำตอบได้เหมาะสมอีกด้วย
 แล้วโซราตะเองก็สนใจที่จะคุยกับเมดในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ชวนสาวไปเดท หรือเวลาว่างๆ
แต่ตอนนี้เขาไม่ว่างที่จะมาเล่นส่งข้อความกับโปรแกรมเมด
เขาจึงส่งข้อความไปอีกหนึ่งฉบับ และหวังว่าจะได้รับคำตอบกลับมา
รอบนี้เขาได้รับข้อความส่งกลับในทันที
<<ถ้าท่านโซราตะยังไม่มีเหตุผลแบบนี้ล่ะก็ คุณเมดจะลงโทษแล้วนะเจ้าคะ บทลงโทษสำหรับคนขี้ตื๊อคือไวรัสที่น่ากลัวค่ะ จะส่งให้แล้วนะเจ้าค่ะ (คิก คิก) เมดที่เขียนไวรัสเป็น>>
“ปัดโถ่!
เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องไม่ดีที่จะเกิด โซราตะรีบส่งข้อความไปอีกฉบับหนึ่งเพื่ออธิบาย
<<ดีจังเลยที่ท่านโซราตะยอมเข้าใจ เสียดายจังเลยทีไม่ได้ใช้ไวรัสที่อุตสาห์ตั้งใจเตรียมเอาไว้ เมดที่หวังว่าสักวันจะได้เป็นมนุษย์>>
โซราตะส่งข้อความไปอีกครั้งเพื่อขอโทษเมด
ในระหว่างที่กำลังพิมพ์อยู่ เขาก็ถอนหายใจออกมา
“โถ่ถัง ทำไมอาจารย์กับนักเรียนที่นี่ ถึงได้ประหลาดนักนะ ถ้าเรายังไม่ออกไปจากที่นี้ เราต้องบ้าตามไปด้วยแน่ๆ... เมื่อไหร่จะได้ไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาสักที? ใครก็ได้มาช่วยเราที”
จากนั้นโซราตะก็หยิบรูปที่ได้มาขึ้นมาดู
มีรูปเด็กผู้หญิงหน้าตาดีสวมหมวกฟางใบใหญ่อยู่ เธออยู่ในชุดเสื้อสวมสีขาวแบบตะวันตก เธอไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะยิ้มให้กล้องถ่ายรูป ในดวงตาเธอสะท้อนไปยังบางสิ่งที่นอกเหนือจากกล้องถ่ายรูป
ความเปล่าเปลี่ยวแล่นเข้ามาในใจของเขาเมื่อเห็นรูปใบนี้ โซราตะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่เลือนรางและขุ่นมัวของรูปใบนี้ก็เป็นได้
เด็กหญิงคนนี้ดูช่างคุ้นเคย
ฮิคาริเข้ามาคลอเคลียที่ขาของเขา
“...นั่นสินะ เธอดูเหมือนกับพวกนายเลย”
เขามองไปยังฮิคาริที่ซุกไซร้ไปที่เท้าของเขา แล้วจินตนาการถึงเด็กผู้หญิงที่อยู่ในลังกระดาษช้อนตามองมาที่เขา พลังทำลายล้างช่างน่ากลัวยิ่งนัก เขาเกือบจะหมดสติไปเพราะจินตนาการของตัวเอง

2 comments:

  1. ยังอ่านไม่จบ แต่สิ่งแรกที่เจอแปลกๆเลยก็ คือ
    1. เรียกแมวว่าเธอ...จริงๆน่าจะใช้ แก อะไรแบบนี้มากกว่า เธอจะใช้กับคน
    2. ไสก้น ควรจะเปลี่ยนเป็น ดัน/ผลัก ก้นออกไป จะทำให้อ่านเข้าใจได้ง่ายมากกว่า
    นอกเหนือจากนั้น อ่านคร่าวๆแล้วก็เข้าใจดี
    ปล.อ่านไปได้นิดนึง

    ReplyDelete
  2. 1. เขาถอนหายใจออกมาเบาและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีแดงดำ << ลืมไม้ยมก
    2. ที่นี้คือประเทศเสรีนะครับ!? << ที่นี่
    3. อันนี้งานใหม่ปิ้งๆ เลยนะ << อันนี้ตั้งใจจะเขียน ปิ๊งๆ ป่ะงิ
    4. แต่ความรู้สึกที่เขาได้รับจากเจอนั้น << จากเธอนั้น
    5. แต่มิซากิเองก็ยังสามารถทำงานจำนวนมาให้เสร็จได้ด้วยตัวเอง << จำนานมาก
    6. “เธอเป็นหลายฉันเอง ตั้งแต่วันนี้เธอจะมาอยู่ที่นี่น่ะ” << เธอเป็นหลาน
    7. “บอกแล้วไงว่านัดเจอกันตอนหาโมงที่สถานี ไปรับเธอซะ ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ?” << ตอนหกโมงที่สถานี
    8. ทำให้บายพับประตูหลวม >> บานพับ
    9. ถ้าท่านโซราตะยังไม่มีเหตุแบบนี้ล่ะก็ >> ไม่มีเหตุผล
    10. บทลงโทษสำหรับคนขี้ตื้อคือไวรัสที่น่ากลัว >> คนขี้ตื๊อ
    11. มีรูปเด็กผู้หญิงหน้าตาดีรวมหมวกฟางใบใหญ่อยู่ >> สวมหมวกฟาง

    ReplyDelete